Add parallel Print Page Options

ภาค 3

บทที่ 73-89

ความยุติธรรมของพระเจ้า

เพลงสดุดีของอาสาฟ

จริงทีเดียว พระเจ้าดีต่อชาวอิสราเอล
    ต่อบรรดาผู้มีใจบริสุทธิ์
แต่สำหรับข้าพเจ้า เท้าที่ก้าวออกไปของข้าพเจ้าแทบสะดุด
    เท้าที่ก้าวเกือบทำให้พลาดพลั้ง
เพราะข้าพเจ้าอิจฉาคนยโส
    เมื่อข้าพเจ้าเห็นความเจริญของพวกคนชั่ว

ด้วยว่า พวกเขาปราศจากความเจ็บปวด
    ร่างกายเขาสมบูรณ์ และมีสุขภาพดี
พวกเขาไม่ลำบากเหมือนคนอื่นๆ
    และไม่ถูกบั่นทอนเหมือนมนุษย์ทั่วไป
ฉะนั้น ความเย่อหยิ่งเป็นประหนึ่งสร้อยที่คล้องคอเขาไว้
    การกระทำเลวร้ายปกปิดร่างกายเสมือนเครื่องนุ่งห่ม
ตาของพวกเขาถลนเพราะความอ้วนพี
    จิตใจของพวกเขาเต็มด้วยความหลอกลวง
เขาเยาะเย้ยและกล่าวร้าย
    เขาเอ่ยปากข่มขู่บีบคั้นด้วยความโอหัง
ปากของเขาพูดท้าทายสรวงสวรรค์
    และลิ้นก็ระรานไปทั่วแผ่นดินโลก
10 ดังนั้น ชนชาติของพระองค์กลับหันมายกย่องพวกเขา
    และเชื่อฟังเขาทุกอย่าง
11 และเขาพูดว่า “พระเจ้าทราบได้อย่างไร
    องค์ผู้สูงสุดทราบอะไรบ้าง”
12 ดูเถิด คนชั่วเป็นแบบนี้คือ
    ชอบอยู่อย่างสบายตลอดกาล และร่ำรวยขึ้น
13 จริงทีเดียว มันเปล่าประโยชน์ที่ข้าพเจ้าได้ล้างมือ
    แสดงความบริสุทธิ์ใจ
14 ข้าพเจ้าต้องทนทุกข์ตลอดวันเวลา
    และถูกลงโทษทุกเช้า

15 หากข้าพเจ้าพูดว่า “ข้าพเจ้าจะพูดตามอย่างพวกเขา”
    ก็จะกลายเป็นว่าข้าพเจ้าไม่จริงใจต่อพวกบุตรของพระองค์
16 แต่เมื่อข้าพเจ้าพยายามที่จะเข้าใจเรื่องนี้
    ข้าพเจ้าก็อ่อนใจ
17 จนกระทั่งข้าพเจ้าเข้าไปในที่พำนักของพระเจ้า
    แล้วข้าพเจ้าจึงเข้าใจจุดจบของพวกเขา

18 จริงทีเดียว พระองค์ให้พวกเขาอยู่ในที่ลื่น
    พระองค์ทำให้เขาวอดวาย
19 พวกเขาถูกทำลายได้อย่างรวดเร็วอะไรเช่นนี้
    และถูกกำจัดอย่างน่ากลัวโดยสิ้นเชิง
20 โอ พระผู้เป็นเจ้า
เมื่อพระองค์ตื่นขึ้น พระองค์ลืมพวกเขาจนหมดสิ้น
    เหมือนกับผู้ที่ตื่นขึ้นจากความฝัน
21 เวลาข้าพเจ้ารู้สึกขมขื่นในใจ
    ในยามที่ส่วนลึกในตัวข้าพเจ้าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
22 ข้าพเจ้าโง่และไม่เข้าใจอะไร ณ เบื้องหน้าพระองค์
    ข้าพเจ้าเป็นเพียงสัตว์ป่า

23 ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็จะอยู่กับพระองค์เสมอ
    พระองค์จับมือขวาของข้าพเจ้าไว้
24 พระองค์นำทางข้าพเจ้าพร้อมด้วยคำแนะนำ
    และสุดท้ายพระองค์จะรับข้าพเจ้าอย่างสมเกียรติ
25 ข้าพเจ้ามีใครในสวรรค์บ้างนอกจากพระองค์
    และไม่มีอะไรในโลกที่ข้าพเจ้าต้องการนอกจากพระองค์
26 ทั้งกายและใจของข้าพเจ้าระทดท้อ
    แต่พระเจ้าเป็นพลังใจของข้าพเจ้าโดยที่ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องมีสิ่งอื่นใดอีกเลย

27 ดูเถิด พวกที่ห่างเหินจากพระองค์จะพินาศ
    พระองค์ทำให้ชีวิตของพวกที่ไม่จริงใจกับพระองค์จบลง
28 แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว นับว่าเป็นสิ่งดีที่ได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้า
    ข้าพเจ้าให้พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เป็นที่พึ่งพิงของข้าพเจ้า
    และข้าพเจ้าจะป่าวประกาศถึงสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ได้กระทำ

อธิษฐานให้ชนชาติของพระองค์รอดพ้นจากศัตรู

เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของอาสาฟ

โอ พระเจ้า ทำไมพระองค์จึงทอดทิ้งพวกเราไปตลอดกาล
    ทำไมความกริ้วของพระองค์จึงปะทุขึ้นต่อฝูงแกะในทุ่งหญ้าของพระองค์
โปรดระลึกถึงคนของพระองค์ที่ได้เลือกไว้แต่เก่าก่อน
    ที่พระองค์ได้ไถ่ให้เป็นเผ่าพันธุ์ของผู้สืบมรดกของพระองค์
    โปรดระลึกถึงภูเขาศิโยน อันเป็นที่ซึ่งพระองค์เคยพำนัก
โปรดก้าวเท้าไปสำรวจสิ่งที่ปรักหักพังเป็นนิตย์
    พวกศัตรูได้ทำลายทุกสิ่งในสถานที่บริสุทธิ์

พวกข้าศึกได้ตะโกนร้องด้วยชัยชนะท่ามกลางที่ประชุมของพระองค์
    พวกเขาตั้งธงชัยขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของเขาเอง
ดูเหมือนว่าพวกเขายกขวานขึ้น
    จามไม้ในป่าทึบ
ในทันใดนั้นเขาก็ทำลายส่วนที่เป็นไม้สลักทั้งหมดลง
    ด้วยขวานและค้อน
พวกเขาเอาไฟเผาที่พำนักของพระองค์
    เขาทำให้สถานที่อันเป็นที่ซึ่งพระองค์ได้รับการนมัสการเป็นมลทินไปทุกกระเบียดนิ้ว
พวกเขาคิดอยู่ในใจว่า “เรามาทำให้พวกเขาพินาศย่อยยับกันเถิด”
    แล้วเขาก็เผาสถานที่ประชุมของพระเจ้าทุกแห่งในแผ่นดิน

พวกเราไม่เห็นสัญลักษณ์สำหรับพวกเราเลย
    ไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าอีกแล้ว
    และไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเราทราบว่าจะเป็นเวลานานแค่ไหน
10 โอ พระเจ้า นานเพียงไรที่ศัตรูจะเยาะเย้ยพระองค์
    พวกเขาจะดูถูกพระนามของพระองค์ไปตลอดกาลหรือ
11 ทำไมพระองค์จึงยั้งมือขวาของพระองค์ไว้
    ยื่นมือออกจากทรวงอกของพระองค์เถิด ทำลายให้จบสิ้นไป

12 โอ พระเจ้า กษัตริย์ของข้าพเจ้าแต่ก่อนเก่า
    พระองค์นำความรอดพ้นมายังแผ่นดินโลก
13 พระองค์แยกน้ำทะเลออกด้วยอานุภาพของพระองค์
    พระองค์หักหัวฝูงมังกรในน้ำ
14 พระองค์ขยี้หัวตัวเหรา[a]
    พระองค์ให้มันเป็นอาหารสำหรับสัตว์ในทะเลทราย
15 พระองค์ทำให้น้ำพุและลำธารมีน้ำไหลพุ่ง
    พระองค์ทำให้แม่น้ำที่ไหลอยู่เหือดแห้ง
16 กลางวันเป็นของพระองค์ และกลางคืนก็ยังคงเป็นของพระองค์เช่นกัน
    พระองค์สร้างดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
17 พระองค์กำหนดเขตแดนของทุกสิ่งบนโลก
    ให้มีฤดูร้อนและฤดูหนาว

18 โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์ตระหนักด้วยว่า พวกศัตรูหัวเราะเยาะพระองค์
    และคนโง่พากันเย้ยหยันพระนามของพระองค์
19 อย่ายกชีวิตนกพิราบของพระองค์ให้พวกสัตว์ป่า
    อย่าลืมชีวิตของคนยากจนของพระองค์โดยสิ้นเชิง
20 โปรดคำนึงถึงพันธสัญญาของพระองค์
    เพราะทุกมุมมืดเต็มด้วยการกระทำอันรุนแรง
21 อย่าปล่อยให้คนที่ถูกบีบบังคับต้องถูกเหยียดหยาม
    ให้ผู้ขัดสนและผู้ยากไร้สรรเสริญพระนามของพระองค์
22 โอ พระเจ้า พระองค์โปรดลุกขึ้นสู้ความ
    ตระหนักเถิดว่าคนเขลาหัวเราะเยาะพระองค์ตลอดวันเวลา
23 อย่าลืมเสียงร้องของศัตรูของพระองค์
    มันคือเสียงก่อกวนของฝ่ายตรงข้ามที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน

พระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน

ถึงหัวหน้าวงดนตรี ตามทำนอง “อย่าทำลาย” เพลงสดุดีของอาสาฟ บทเพลง

พวกเราขอบคุณพระองค์ โอ พระเจ้า
    พวกเราขอบคุณเพราะพระองค์อยู่ใกล้
ผู้คนประกาศถึงสิ่งมหัศจรรย์ที่พระองค์กระทำ

พระองค์กล่าวว่า “เราจะเลือกเวลาตามที่ได้กำหนดไว้
    เราจะตัดสินด้วยความชอบธรรม
เมื่อแผ่นดินโลกและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกสั่นไหว
    เรานั่นแหละเป็นผู้ทำให้ฐานรากมั่นคงไว้ เซล่าห์
เราบอกคนขี้อวดว่า ‘อย่าโอ้อวดเลย’
    และบอกคนชั่วว่า ‘อย่าเอาพละกำลังของเจ้ามาอวดอ้างเลย
อย่ายกพละกำลังของเจ้าขึ้นมาเหนือสิ่งอื่น
    หรือเชิดหน้าเวลาพูดจา’”

เพราะว่าไม่มีผู้ใดจากทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก
    หรือจากถิ่นทุรกันดารที่จะถูกเชิดจนสูงขึ้นได้
เพราะพระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน
    พระองค์ทำให้คนหนึ่งถ่อมลง และให้อีกคนได้รับการยกย่อง
เพราะถ้วยอยู่ในมือของพระผู้เป็นเจ้า
    มีเหล้าองุ่นผสมไว้ผุดเป็นฟอง
เวลาพระองค์เทออก พวกคนชั่วทั้งปวงบนแผ่นดินโลกก็พากันดื่ม
    อย่างแน่นอน ดื่มจนเกลี้ยง
    ไม่เหลือแม้ก้นตะกอนด้วยซ้ำ

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะประกาศไปตลอดกาล
    ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าของยาโคบ
10 พระองค์จะกำจัดพละกำลังทั้งหมดของคนชั่วร้าย
    ส่วนพละกำลังของบรรดาผู้มีความชอบธรรมจะถูกเชิดชูขึ้น

การตัดสินของพระเจ้าผู้มีมหิทธานุภาพ

ถึงหัวหน้าวงดนตรี ด้วยเครื่องสาย เพลงสดุดีของอาสาฟ บทเพลง

พระเจ้าเป็นที่รู้จักในยูดาห์
    พระนามของพระองค์ใหญ่ยิ่งในอิสราเอล
กระโจมของพระองค์อยู่ในซาเล็ม[b]
    และที่พำนักของพระองค์อยู่ในศิโยน
ณ ที่นั่น พระองค์หักลูกธนูที่กำลังลุกเป็นไฟ
    ทั้งโล่ ดาบ และอาวุธยุทธภัณฑ์ เซล่าห์

พระองค์สง่างาม
    ยิ่งใหญ่กว่าเทือกเขาแห่งนิรันดร์กาล
พวกทหารใจเด็ดถูกริบข้าวของจนหมดสิ้น
    พวกเขาหลับอยู่ในความตาย
ไม่มีชายผู้กล้าหาญสักคน
    ที่สามารถขยับมือได้
โอ พระเจ้าของยาโคบ เมื่อพระองค์บอกห้าม
    ทั้งม้าและคนขับรถศึกต่างก็นอนตาย

โอ พระองค์ พระองค์เป็นที่น่าเกรงขาม
    ใครจะสามารถยืน ณ เบื้องหน้าพระองค์ได้เวลาพระองค์กริ้ว
พระองค์ประกาศคำตัดสินจากสวรรค์
    แผ่นดินโลกเกรงกลัวและเงียบสนิท
โอ พระเจ้า เวลาพระองค์ลุกขึ้นตัดสิน
    เพื่อให้ผู้ถูกบีบบังคับทั้งปวงบนแผ่นดินโลกรอดพ้น เซล่าห์

10 ด้วยว่า ความฉุนเฉียวของมนุษย์กลับกลายเป็นคำสรรเสริญพระองค์
    และความเดือดดาลที่ยังหลงเหลืออยู่นั้น กลับกลายเป็นเครื่องประดับของพระองค์
11 จงทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า
    ให้ทุกคนที่อยู่รายรอบพระองค์
    นำเครื่องบรรณาการมาถวายแด่องค์ผู้น่าเกรงขาม
12 พระองค์ทำให้บรรดาผู้ปกครองบ้านเมืองถูกเหยียดลง
    และทำให้บรรดากษัตริย์ของแผ่นดินโลกยำเกรงพระองค์

อุ่นใจเมื่อระลึกถึงความเมตตาของพระเจ้า

ถึงหัวหน้าวงดนตรี ตามทำนองของเยดูธูน เพลงสดุดีของอาสาฟ

ข้าพเจ้าส่งเสียงร้องถึงพระเจ้า
    ส่งเสียงร้องถึงพระเจ้า หวังจะให้พระองค์ได้ยินข้าพเจ้า
ในวันอันทุกข์ยากข้าพเจ้าแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า
    ในยามค่ำคืนข้าพเจ้ายกมือขึ้นอย่างไม่อ่อนล้า
    แต่จิตวิญญาณของข้าพเจ้าไม่ยอมรับการปลอบประโลม
ข้าพเจ้าระลึกถึงพระเจ้า และคร่ำครวญ
    ข้าพเจ้าใคร่ครวญ แต่วิญญาณของข้าพเจ้าอ่อนระโหย เซล่าห์

พระองค์ทำให้ข้าพเจ้ามิอาจหลับตาลงได้
    ข้าพเจ้าเป็นทุกข์หนักจนมิอาจเอ่ยปากได้
ข้าพเจ้าคิดย้อนไปในวันเก่าๆ
    ระลึกถึงปีก่อนๆ ที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว
ยามราตรีข้าพเจ้าระลึกถึงเพลง
    และจะใคร่ครวญอยู่ในใจ
    และวิญญาณข้าพเจ้าหมั่นแสวงหา
“พระผู้เป็นเจ้าจะปฏิเสธพวกเราเสมอไป
    และจะไม่มีวันโปรดปรานอีกต่อไปหรือ
ความรักอันมั่นคงของพระองค์จบลงโดยสิ้นเชิงแล้วหรือ
    ความสัตย์จริงของพระองค์จะสิ้นความหมายไปแล้วในทุกยุคทุกสมัยหรือ
พระเจ้าลืมความกรุณาเสียแล้วหรือ
    ความกริ้วของพระองค์ปิดกั้นความสงสารของพระองค์ไปแล้วหรือ” เซล่าห์

10 ดังนั้น สิ่งที่ข้าพเจ้าจะกล่าวก็คือ
    “ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าเสียนี่กระไร อานุภาพอันยิ่งใหญ่ขององค์ผู้สูงสุดเปลี่ยนไปเสียแล้ว”
11 ข้าพเจ้าจะนึกถึงสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากระทำ
    เพราะข้าพเจ้าจะจำสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์แต่ครั้งเก่าก่อนได้
12 ข้าพเจ้าตริตรองถึงการงานของพระองค์
    และใคร่ครวญถึงการกระทำอันเต็มด้วยอานุภาพของพระองค์

13 โอ พระเจ้า วิถีทางของพระองค์บริสุทธิ์
    มีเทพเจ้าใดที่ยิ่งใหญ่เท่าเทียมกับพระเจ้าของเรา
14 พระองค์เป็นพระเจ้าผู้แสดงสิ่งมหัศจรรย์
    พระองค์ให้พละกำลังเป็นที่ประจักษ์ในบรรดาชนชาติ
15 ด้วยอานุภาพของพระองค์ พระองค์ไถ่ชนชาติของพระองค์
    คือลูกหลานของยาโคบและโยเซฟ เซล่าห์

16 เมื่อน่านน้ำแลเห็นพระองค์ โอ พระเจ้า
    เมื่อน่านน้ำแลเห็นพระองค์ก็ยำเกรง
    และห้วงน้ำลึกสั่นสะเทือน
17 หมู่เมฆหลั่งฝน
    ท้องฟ้าส่งเสียงครืนครั่น
    ฟ้าแลบแปลบปลาบไปทั่วทุกแห่งหน
18 เสียงฟ้าร้องครืนครั่นมากับพายุหมุน
    ประกายจากสายฟ้าทำให้โลกกระจ่าง
    แผ่นดินโลกสั่นสะเทือนและสั่นไหว
19 พระองค์นำทางผ่านท้องทะเลไป
    พระองค์ก้าวผ่านไปทางทะเลลึก
    ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครเห็นรอยเท้าของพระองค์
20 พระองค์นำคนของพระองค์ไปเหมือนนำฝูงแกะ
    โดยมีโมเสสและอาโรนเป็นผู้บัญชาการ

พระเจ้าเบื้องหลังชนชาติอิสราเอลที่กระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของอาสาฟ

ชนชาติของเราเอ๋ย จงฟังคำสอนของเราเถิด
    เงี่ยหูฟังคำพูดจากปากของเรา
เราจะเปิดปากของเรากล่าวคำอุปมา[c]
    เราจะเล่าเรื่องที่ปิดบังไว้แต่ครั้งโบราณกาล
เรื่องที่พวกเราได้ยินและรู้มา
    เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของเราเล่าขานให้พวกเราฟัง
เราจะไม่ปิดบังพวกลูกหลานของท่านในเรื่องเหล่านี้
    แต่จะบอกคนยุคต่อไปให้ทราบถึง
การกระทำและอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งควรแก่การสรรเสริญ
    และสิ่งมหัศจรรย์ที่พระองค์ได้กระทำ
พระองค์มอบคำสั่งแก่ผู้สืบตระกูลของยาโคบ
    และตั้งกฎบัญญัติในอิสราเอล
และพระองค์สั่งบรรพบุรุษของเราให้สอน
    พวกลูกๆ ของเขา
เพื่อยุคต่อไปที่จะเกิดมาภายหลังจะได้เรียนรู้ไว้
    และบอกพวกลูกๆ ของตนต่อๆ กันไป[d]
เพื่อพวกเขาจะได้ตั้งความหวังในพระเจ้า
    และไม่ลืมสิ่งที่พระเจ้ากระทำ
    อีกทั้งปฏิบัติตามข้อบัญญัติของพระองค์
พวกเขาไม่ควรเป็นเหมือนบรรพบุรุษของเขาคือ
    เป็นยุคที่ดื้อรั้นและฝ่าฝืน
เป็นยุคที่มีใจโลเล
    มีจิตวิญญาณที่ไม่ภักดีต่อพระเจ้า

พวกเอฟราอิมที่สะพายคันธนูพร้อมรบ
    แต่กลับหลังหันในวันสงคราม
10 พวกเขาไม่ได้ทำตามพันธสัญญาของพระเจ้า
    และไม่ยอมเชื่อฟังกฎบัญญัติของพระองค์
11 พวกเขาลืมสิ่งที่พระองค์ได้กระทำ
    และสิ่งมหัศจรรย์ที่พระองค์ได้แสดงให้พวกเขาเห็นแล้ว
12 ขณะที่บรรพบุรุษของพวกเขาเฝ้าดู
    พระเจ้าก็ได้แสดงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ในดินแดนอียิปต์ ที่ไร่นาของโศอัน
13 พระองค์แหวกน้ำทะเลออกจากกันเพื่อให้พวกเขาเดินผ่านไป
    และทำให้น้ำแหวกเป็นสองฟากฝั่งสูงทะมึน[e]
14 กลางวันพระองค์นำพวกเขาไปใต้เงาเมฆ
    และอาศัยแสงจากเพลิงไฟตลอดทั้งคืน[f]
15 พระองค์ทำให้หินในถิ่นทุรกันดารแตกออก
    เพื่อให้พวกเขามีน้ำดื่มได้มากมายราวกับน้ำจากห้วงน้ำลึก
16 พระองค์ทำให้ธารน้ำไหลออกจากหิน
    และทำให้น่านน้ำไหลลงดั่งแม่น้ำ[g]

17 ถึงกระนั้นพวกเขายังกระทำบาปต่อพระองค์ไว้มาก
    เขาลองดีกับองค์ผู้สูงสุดในถิ่นทุรกันดาร
18 พวกเขาตั้งใจลองดีกับพระเจ้า
    โดยเรียกร้องอาหารที่เขานึกอยาก
19 พวกเขาพูดเหยียดหยามพระเจ้าว่า
    “พระเจ้าจะหาสำรับในถิ่นทุรกันดารมาให้ได้ไหม
20 พระองค์กระทบหินเพื่อให้น้ำพวยพุ่งขึ้น
    และลำธารไหลล้น
พระองค์ให้ขนมปัง
    หรือจัดหาเนื้อสัตว์เพื่อชนชาติของพระองค์ได้ด้วยหรือ”
21 ครั้นพระผู้เป็นเจ้าได้ยินก็โกรธเกรี้ยว
    ความกริ้วของพระองค์ที่มีต่อยาโคบปะทุขึ้นดั่งเพลิง
    ลุกโชนขึ้นต่ออิสราเอล
22 เพราะพวกเขาไม่มีความเชื่อในพระเจ้า
    และไม่วางใจในอานุภาพของพระองค์ที่จะช่วยเขาให้รอดพ้นได้
23 ถึงกระนั้นพระองค์ยังบัญชาหมู่เมฆเบื้องบน
    และเปิดประตูท้องฟ้า
24 แล้วพระองค์โปรดให้มานาโปรยลงมาให้พวกเขารับประทาน
    พระองค์ให้เมล็ดข้าวแห่งสวรรค์แก่พวกเขา
25 แต่ละคนได้รับประทานขนมปังของทูตสวรรค์
    พระองค์ให้อาหารแก่พวกเขาอย่างอุดมสมบูรณ์
26 พระองค์ทำให้ลมตะวันออกพัดในฟ้าสวรรค์
    และพระองค์นำลมใต้ออกไปด้วยพละกำลังของพระองค์
27 พระองค์โปรดให้เนื้อสัตว์เทลงมาเพื่อพวกเขามากมายราวกับฝุ่นผง
    เป็นตัวนกจำนวนมากราวกับเม็ดทรายในทะเล
28 พระองค์ทำให้เนื้อสัตว์ตกอยู่ท่ามกลางค่ายของพวกเขา
    รอบๆ บริเวณที่เขาอาศัยอยู่
29 แล้วพวกเขารับประทานกันจนอิ่มหนำ
    เพราะพระองค์ให้สิ่งที่พวกเขาอยาก
30 แต่ยังไม่ทันหายอยาก
    คือในขณะที่อาหารยังอยู่ในปากพวกเขา
31 ความกริ้วของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่อพวกเขา
    แล้วพระองค์ฆ่าชายฉกรรจ์ที่สุดของพวกเขา
    พระองค์ทำให้บรรดาชายหนุ่มที่เก่งกาจของอิสราเอลสิ้นชีวิตลง[h]

32 แม้กระนั้นพวกเขายังจะทำบาปอีก
    แม้พระองค์ได้ทำให้เห็นสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ แล้ว พวกเขาก็ยังไม่เชื่อ
33 ดังนั้น พระองค์ทำให้วันเวลาของเขาสิ้นสุดลงดั่งลมหายใจ
    และปีของเขามีแต่ความพินาศ
34 ในยามที่พระองค์ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็แสวงหาพระองค์
    กลับใจและหันเข้าหาพระเจ้าอย่างจริงจัง
35 และจำได้ว่า พระเจ้าเป็นดั่งศิลาของพวกเขา
    พระเจ้าผู้สูงสุดเป็นผู้ไถ่บาปของพวกเขา
36 แต่กลับลวงพระองค์ด้วยคำพูดจากปาก
    และพูดคำเท็จด้วยลิ้นของพวกเขา
37 ใจของพวกเขาไม่มั่นคงต่อพระองค์
    และไม่ภักดีต่อพันธสัญญาของพระองค์
38 แต่พระองค์ยังคงสงสาร
    พระองค์ยกโทษความชั่วทั้งปวง
    และไม่ทำลายพวกเขา
บ่อยครั้งพระองค์ยับยั้งความกริ้วไว้
    และไม่ปล่อยความกริ้วของพระองค์ให้พลุ่งขึ้น
39 พระองค์ได้ระลึกว่าพวกเขาเป็นเพียงเนื้อหนัง
    เป็นลมที่พัดผ่านไป แล้วไม่หวนกลับมาอีก
40 บ่อยครั้งเพียงไรที่พวกเขาดื้อดึงต่อพระองค์ในถิ่นทุรกันดาร
    และทำให้พระองค์เศร้าใจในที่ร้างอันแร้นแค้น
41 พวกเขาลองดีกับพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก
    และยั่วโทสะองค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอล
42 เขาไม่ได้จำใส่ใจถึงอานุภาพของพระองค์
    และวันที่พระองค์ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากศัตรู
43 และวันที่พระองค์สร้างปรากฏการณ์ต่างๆ ในประเทศอียิปต์
    และสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ที่ไร่นาของโศอัน
44 พระองค์เปลี่ยนแม่น้ำของพวกเขาให้เป็นเลือด
    ทำให้น้ำจากลำธารดื่มไม่ได้
45 พระองค์ส่งฝูงแมลงไปกัดกินพวกเขา
    รวมทั้งให้ฝูงกบก่อกวนและสร้างความเสียหาย
46 พระองค์ให้ตัวบุ้งกินพืชผลที่พวกเขาปลูกไว้
    และผลผลิตจากแรงงานก็ให้ฝูงตั๊กแตนกัดกิน
47 พระองค์ให้ลูกเห็บตกทำลายเถาองุ่นของพวกเขา
    และให้น้ำค้างแข็งเกาะต้นมะเดื่อ
48 ฝูงโคล้มตายเพราะลูกเห็บ
    และฝูงแพะแกะตายลงเพราะสายฟ้าแลบ
49 พระองค์ปลดปล่อยความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์ลงบนพวกเขา
    ความโกรธเกรี้ยว ความขัดเคือง และความแค้น
    ซึ่งมาในรูปของกลุ่มทูตสวรรค์แห่งความวิบัติ
50 พระองค์เปิดทางให้แก่ความกริ้วของพระองค์
    และไม่ไว้ชีวิตพวกเขา
    และกำจัดชีวิตพวกเขาด้วยภัยพิบัติ
51 พระองค์กำจัดชีวิตลูกชายหัวปีทั้งหมดในอียิปต์
    ซึ่งเป็นพละกำลังแรกของพวกเขาที่อยู่ในกระโจมของฮาม[i]
52 แล้วพระองค์นำหน้าชนชาติของพระองค์เหมือนนำแกะ
    และนำพวกเขาในถิ่นทุรกันดารเหมือนนำฝูงแกะ
53 พระองค์นำหน้าพวกเขาไปอย่างปลอดภัย พวกเขาจึงไม่หวาดกลัว
    แต่ทะเลกลับท่วมมิดศัตรู
54 ครั้นแล้วพระองค์ก็นำพวกเขาไปยังดินแดนอันบริสุทธิ์ของพระองค์
    ไปยังภูเขาซึ่งมือขวาของพระองค์ได้มาด้วยชัยชนะ
55 พระองค์ขับไล่บรรดาประชาชาติให้ออกไปต่อหน้าพวกเขา
    พระองค์แบ่งเขตที่ดินให้พวกเขามีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของ
    และให้บรรดาเผ่าของอิสราเอลตั้งรกรากในกระโจมที่พักของพวกเขา

56 แม้กระนั้น พวกเขาก็ยังลองดี
    และดื้อดึงต่อพระเจ้าผู้สูงสุด
    และไม่รักษาคำสั่งของพระองค์
57 แต่หันเหไป และประพฤติตนอย่างคนไร้ความเชื่อ เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของพวกเขา
    ซึ่งเชื่อใจไม่ได้เท่าๆ กับคันธนูคด
58 พวกเขายั่วโทสะพระองค์ด้วยเรื่องสถานบูชาบนภูเขาสูง
    และพวกเขาทำให้พระองค์หวงแหนมากด้วยรูปเคารพ
59 เมื่อพระเจ้าได้ยิน พระองค์โกรธเกรี้ยว
    และไม่ยอมรับอิสราเอลเลย
60 พระองค์ทิ้งที่พำนักของพระองค์ให้ร้างไว้ที่ชิโลห์[j]
    ซึ่งเป็นกระโจมที่พระองค์พำนักท่ามกลางมนุษย์
61 และพระองค์มอบพละกำลังของพระองค์ให้แก่การเป็นเชลย
    และพระบารมีของพระองค์ไว้ในมือของศัตรู
62 พระองค์ปล่อยให้ชนชาติของพระองค์ถูกกำจัดด้วยคมดาบ
    และโกรธกริ้วต่อบรรดาผู้สืบมรดกของพระองค์
63 บรรดาชายหนุ่มเสียชีวิตในสงคราม
    และหญิงสาวของพวกเขาไม่มีโอกาสแต่งงาน
64 บรรดาปุโรหิตของพวกเขาล้มตายด้วยคมดาบ
    และหญิงม่ายไม่มีโอกาสแสดงความเศร้าโศกา

65 ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าตื่นขึ้นดั่งหนึ่งได้ตื่นจากนอน
    เหมือนกับชายฉกรรจ์ส่งเสียงเอ็ดตะโรเพราะเหล้าองุ่น
66 พระองค์ขับไล่ข้าศึกกลับไป
    และทำให้เขาอับอายไปตลอดกาล
67 พระองค์ปฏิเสธกระโจมที่พักของโยเซฟ
    พระองค์ไม่ได้เลือกเผ่าเอฟราอิม
68 แต่พระองค์เลือกเผ่ายูดาห์
    ภูเขาศิโยนซึ่งพระองค์รัก
69 พระองค์สร้างที่พำนักของพระองค์ไว้อย่างสูงระดับฟ้าสวรรค์
    อย่างแผ่นดินโลกที่พระองค์ตั้งไว้ให้ยืนยงตลอดกาล
70 พระองค์เลือกดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
    และพาท่านออกไปจากคอกแกะ
71 พระองค์ให้ท่านเลิกดูแลแกะแม่ลูกอ่อน
    และให้มาเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะของยาโคบชนชาติของพระองค์
    คือของอิสราเอล ผู้สืบมรดกของพระองค์
72 ท่านดูแลคนเหล่านั้นด้วยความจริงใจ
    และนำเขาไปด้วยความชำนาญ

อธิษฐานให้ประชาชาติรอดพ้น

เพลงสดุดีของอาสาฟ

โอ พระเจ้า บรรดาประชาชาติได้เข้ามายังแผ่นดินที่พระองค์ให้พวกเรารับเป็นมรดก
    พวกเขาทำให้พระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์เป็นมลทิน
    และทำให้เยรูซาเล็มพังพินาศไปแล้ว
พวกเขาให้ร่างของบรรดาผู้รับใช้พระองค์
    เป็นอาหารแก่นกในอากาศ
    และให้เนื้อหนังของเหล่าผู้ภักดีของพระองค์แก่สัตว์ป่าบนแผ่นดินโลก
พวกเขาได้เทโลหิตของคนเหล่านั้นดั่งสายน้ำ
    ไหลไปรอบๆ เยรูซาเล็ม
    และไม่มีใครฝังศพเขาเลย
พวกเรากลายเป็นผู้ถูกเหยียดหยามในหมู่เพื่อนบ้านเรา
    พวกเขาล้อเลียนและหัวเราะเยาะรายรอบข้างเรา

นานเพียงไร โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะโกรธไปเป็นนิตย์หรือ
    ความหวงแหนของพระองค์จะลุกไหม้เหมือนไฟหรือ
กระหน่ำความโกรธของพระองค์ลงบนบรรดาประชาชาติที่ไม่รู้จักพระองค์
    บนอาณาจักรต่างๆ ที่ไม่ร้องเรียกพระนามของพระองค์
เพราะพวกเขาได้กลืนกินพงศ์พันธุ์ของยาโคบ
    และทำให้บ้านเมืองเป็นที่รกร้าง

อย่าคำนึงถึงบาปของบรรพบุรุษของเรา
    โปรดสงสารพวกเราในเวลานี้โดยไม่รอช้า
    เพราะเราหมดกำลังใจแล้ว
โอ พระเจ้าแห่งความรอดพ้นของเรา ช่วยพวกเราด้วย
    เพื่อเกียรติแห่งพระนามของพระองค์
ช่วยเราให้รอดพ้นและยกโทษบาปแก่พวกเรา
    เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์เถิด
10 ทำไมบรรดาประชาชาติจึงเอ่ยว่า
    “พระเจ้าของพวกเขาอยู่ที่ไหน”

ให้พวกเราเห็นการแก้แค้นของพระองค์ และเป็นที่ทราบกันในบรรดาประชาชาติ
    เพื่อโลหิตของบรรดาผู้รับใช้พระองค์
11 โปรดฟังเสียงคร่ำครวญของพวกนักโทษ
    และด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ โปรดปล่อยพวกที่จะต้องตายให้เป็นอิสระ
12 ชำระคืนเป็น 7 เท่าตรงทรวงอกของเพื่อนบ้านเรา
    เพื่อตอบการเหยียดหยามที่พวกเขากระทำต่อพระผู้เป็นเจ้า
13 แล้วพวกเราคือชนชาติของพระองค์ ฝูงแกะที่ทุ่งหญ้าของพระองค์
    จะขอบคุณพระองค์ไปตลอดกาล
    พวกเราจะสรรเสริญพระองค์ทุกชั่วอายุคน

อธิษฐานให้ช่วยอิสราเอลคืนสู่สภาพเดิม

ถึงหัวหน้าวงดนตรี ตามทำนอง “พลับพลึงแห่งพันธสัญญา” เพลงสดุดีของอาสาฟ

โปรดฟังเถิด ผู้เลี้ยงดูฝูงแกะของอิสราเอล
    องค์ผู้นำโยเซฟประหนึ่งนำฝูงแกะ
สถิตบนบัลลังก์เหนือตัวเครูบ
    เผยพลานุภาพของพระองค์ให้เห็นเถิด
ต่อหน้าเอฟราอิม เบนยามิน และมนัสเสห์
    สำแดงอานุภาพของพระองค์
    มาเถิด ช่วยพวกเราให้รอดพ้น

โอ พระเจ้า ให้พวกเราคืนสู่สภาพเดิม
    โปรดหันหน้ามาทางเราด้วยแสงอันรุ่งโรจน์ของพระองค์เถิด
    พวกเราจะได้รอดพ้น

โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา
    พระองค์จะกริ้วต่อคำอธิษฐานของชนชาติของพระองค์นานเพียงไร
พระองค์ให้พวกเขากินน้ำตาต่างข้าว
    และให้ดื่มน้ำตาเป็นเหยือกๆ
พระองค์ทำให้พวกเราเป็นที่ดูแคลนของเพื่อนบ้าน
    และพวกศัตรูต่างก็พากันเยาะเย้ยพวกเรา

พระเจ้าจอมโยธา ให้พวกเราคืนสู่สภาพเดิม
    โปรดหันหน้ามาทางเราด้วยแสงอันรุ่งโรจน์ของพระองค์เถิด
    พวกเราจะได้รอดพ้น

พระองค์นำเถาองุ่น[k]ออกจากประเทศอียิปต์
    พระองค์ขับไล่บรรดาประชาชาติออกไป และปลูกเถาองุ่นแทนที่
พระองค์เกลี่ยดินให้เรียบแล้วเถาองุ่นก็หยั่งรากลงลึก
    และเติบโตเลื้อยไปทั่วแผ่นดิน
10 ร่มเงาของมันคลุมไปทั่วเทือกเขา
    และกิ่งก้านปกไปทั่วต้นซีดาร์อันโอฬาร
11 กิ่งของมันยื่นไปไกลถึงทะเล
    และรากก็ยื่นไปถึงแม่น้ำ
12 แล้วเหตุใดพระองค์จึงทลายกำแพงลง
    ผู้คนทั้งหลายที่ผ่านมาทางนั้นต่างก็เด็ดกินผลของมัน
13 หมูป่าขุดโค่นต้นจนถอนราก
    ครั้นแล้วสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในทุ่งก็พากันกินเป็นอาหาร

14 โอ พระเจ้าจอมโยธา โปรดหันมาทางพวกเรา
    มองลงมาจากสวรรค์ และแลให้เห็นเถิด
ดูแลเถาองุ่นนี้ด้วย
15     ต้นที่พระองค์ปลูกด้วยมือขวาของพระองค์เอง
    เถาอ่อน[l]ที่พระองค์บำรุงจนเติบโตแข็งแรง
16 มาบัดนี้ถูกไฟเผาและโค่นทิ้งไป
    ขอให้พระองค์ดูพวกเขาและพิพากษาเถิด
17 ขอพระองค์ไว้ชีวิตและปกป้องผู้ที่พระองค์เลือกไว้
    บุตรมนุษย์ที่พระองค์ทำให้เติบโตแข็งแรง
18 แล้วพวกเราจะไม่มีวันหันหลังให้พระองค์
    ให้ชีวิตแก่พวกเรา แล้วเราจะร้องเรียกพระนามของพระองค์

19 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา ให้พวกเราคืนสู่สภาพเดิม
    โปรดหันหน้ามาทางเราด้วยแสงอันรุ่งโรจน์ของพระองค์เถิด
    พวกเราจะได้รอดพ้น

คำสัญญาของพระเจ้าสำหรับผู้เชื่อฟัง

ถึงหัวหน้าวงดนตรี ตามทำนองกิททิธ ของอาสาฟ

จงส่งเสียงร้องเพลงถวายแด่พระเจ้าผู้เป็นพละกำลังของเรา
    ส่งเสียงร้องด้วยความยินดีแด่พระเจ้าของยาโคบ
เริ่มเล่นเพลง สะบัดรำมะนาใบเล็ก
    เล่นพิณเล็กประกอบกับพิณสิบสายให้ไพเราะ
จงเป่าแตรงอน[m]ในยามข้างขึ้น
    ตอนเดือนหงายในวันเทศกาลของเรา
เพราะเป็นกฎเกณฑ์สำหรับอิสราเอล
    เป็นคำบัญชาของพระเจ้าของยาโคบ
พระองค์ให้ยึดถือเป็นคำสั่งสำหรับโยเซฟ
    ในเวลาที่พระองค์ไปโจมตีดินแดนของอียิปต์

ข้าพเจ้าได้ยินภาษาซึ่งไม่เคยรู้จักกล่าวว่า
“เรารับภาระจากบ่าของเจ้าไป
    ให้เจ้าเป็นอิสระจากงานหนัก
เวลาเจ้าตกทุกข์ได้ยาก เจ้าร้องเรียกเรา เราก็ช่วยให้พ้นทุกข์
    เราตอบเจ้าจากที่ลึกลับและมากับเสียงฟ้าร้อง
    เราทดสอบเจ้าที่แหล่งน้ำเมรีบาห์[n] เซล่าห์
ชนชาติของเราเอ๋ย จงฟังในยามที่เราเตือนเจ้า
    โอ อิสราเอลเอ๋ย ถ้าเจ้าเพียงแต่ฟังเราเท่านั้น
อย่ามีเทพเจ้าต่างชาติท่ามกลางพวกเจ้า
    และอย่าก้มลงกราบเทพเจ้าต่างแดน
10 เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า
    คือผู้ที่นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์
จงอ้าปากของเจ้าให้กว้าง แล้วเราจะป้อนเจ้าจนอิ่ม

11 แต่ชนชาติของเราไม่ยอมฟังเสียงเรา
    อิสราเอลไม่ยอมรับรู้อะไรจากเราเลย
12 ฉะนั้น เราปล่อยพวกเขาให้เป็นไปตามใจอันดื้อด้านของเขา
    และให้กระทำตามสิ่งที่เขาพอใจจะทำ
13 ถ้าชนชาติของเราเพียงแต่ฟังเรา
    หากว่าอิสราเอลจะเดินตามวิถีทางของเรา
14 เราก็จะทำให้ศัตรูของพวกเขาพ่ายแพ้ไป
    และเราจะปะทะกับข้าศึกของเขา
15 พวกที่เกลียดชังพระผู้เป็นเจ้าจะยอมสยบต่อหน้าพระองค์
    และโทษของพวกเขาจะยืนยาวไปตลอดกาล
16 แต่เราจะเลี้ยงดูเจ้าด้วยข้าวสาลีชั้นเยี่ยม
    และเราจะทำให้เจ้าพอใจด้วยน้ำผึ้งที่ไหลออกจากหิน”

พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินแผ่นดินโลก

เพลงสดุดีของอาสาฟ

พระเจ้ายืนอยู่ในที่ประชุมของพระองค์
    พระองค์ตัดสินอยู่ท่ามกลางบรรดาเทพเจ้า
“พวกเจ้าจะตัดสินอย่างไร้ความยุติธรรม
    และเข้าข้างคนชั่วนานเพียงไร เซล่าห์
จงให้ความยุติธรรมแก่คนสิ้นไร้ไม้ตอกและผู้ที่กำพร้า
    รักษาสิทธิของผู้ขัดสนและคนเป็นทุกข์
ช่วยคนสิ้นไร้ไม้ตอกและผู้ยากไร้ให้พ้นภัย
    ช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของคนชั่ว”

พวกเขาไม่รู้และไม่เข้าใจ
    เขาเดินอยู่ในความมืด
    ฐานรากของแผ่นดินโลกสั่นคลอน

เราได้กล่าวว่า “พวกเจ้าคือบรรดาเทพเจ้า[o]
    และบรรดาบุตรขององค์ผู้สูงสุด พวกเจ้าทุกคนนั่นแหละ
แต่เจ้าจะตายอย่างมนุษย์
    และล้มลงอย่างผู้นำคนใดคนหนึ่ง”

โอ พระเจ้า ลุกขึ้นตัดสินแผ่นดินโลกเถิด
    เพราะประชาชาติทั้งปวงเป็นของพระองค์

คำอธิษฐานให้ศัตรูถูกลงโทษ บทเพลง

เพลงสดุดีของอาสาฟ

โอ พระเจ้า โปรดอย่านิ่งเฉย
    อย่าเงียบงัน
    โอ พระเจ้า โปรดอย่าเฉยเมย
ดูเถิด พวกศัตรูของพระองค์เกิดโกลาหล
    และพวกที่เกลียดชังพระองค์ชูคอขัดขืน
พวกเขาวางแผนทำร้ายชนชาติของพระองค์
    เขาร่วมกันเตรียมต่อต้านบรรดาผู้ที่พระองค์ทะนุถนอม
พวกเขาพูดว่า “มาเถิด มาทำลายประชาชาติของเขา
    และชื่ออิสราเอลจะไม่เป็นที่นึกถึงอีกต่อไป”
เพราะพวกเขารวมหัวกันคบคิด
    และสัญญาว่าจะต่อต้านพระองค์
คือกระโจมของเอโดมและชาวอิชมาเอล
    ชาวโมอับและฮาการ์
เกบาล อัมโมน และอามาเลข
    ฟีลิสเตีย กับผู้อยู่อาศัยของไทระ
อัสซีเรียก็ร่วมกับพวกเขาด้วย
    พวกนี้กลับมาเป็นกำลังให้ลูกหลานของโลท เซล่าห์

ขอพระองค์กระทำต่อคนพวกนี้อย่างที่ได้ทำต่อชาวมีเดียน
    อย่างที่ทำต่อสิเส-ราและยาบินที่แม่น้ำคีโชน
10 คนพวกนี้ถูกฆ่าที่เอนโดร์
    และกลายเป็นธุลีดิน
11 ขอพระองค์ตอบแทนบรรดาเจ้าขุนมูลนายของเขา
    เหมือนที่ได้ทำกับโอเรบและเศเอบ
และตอบแทนบรรดาเจ้าชาย
    เหมือนที่ได้ทำกับเศบาห์และศัลมุนนา
12 พวกเขาพูดว่า “เรามายึดเอาทุ่งหญ้าของพระเจ้า
    และเอามาเป็นของเราเถิด”

13 โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนว่าเขาเป็นธุลีดินที่ปลิวว่อน
    ดั่งแกลบที่ถูกพัดไปกับกระแสลม
14 ดั่งเพลิงที่เผาผลาญป่าไม้
    ดั่งเปลวไฟที่ก่อให้ภูเขาลุกโพลงขึ้น
15 ไล่ตามพวกเขาไปด้วยลมอันแรงกล้า
    และทำให้เขาตระหนกด้วยลมพายุของพระองค์
16 ให้พวกเขาขายหน้า โอ พระผู้เป็นเจ้า
    เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระนามของพระองค์
17 ปล่อยให้พวกเขาอับอายและอกสั่นขวัญหายเรื่อยไป
    ขอให้เขาสิ้นชีพลงด้วยความอัปยศอดสู
18 และให้พวกเขารู้ว่าพระนามของพระองค์คือพระผู้เป็นเจ้า
    พระองค์ผู้เดียวเป็นองค์ผู้สูงสุดของทั่วทั้งแผ่นดินโลก

ชีวิตอันแสนสุขเมื่ออยู่กับพระเจ้า

ถึงหัวหน้าวงดนตรี ตามทำนองกิททิธ ของตระกูลโคราห์ เพลงสดุดี

พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา
    กระโจมที่พำนักของพระองค์ช่างงดงามอะไรเช่นนี้
จิตวิญญาณข้าพเจ้าปรารถนาด้วยใจจดจ่อ
    และใฝ่ฝันถึงลานพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
ทั้งกายและใจข้าพเจ้าร้องเพลงถึง
    พระเจ้าผู้ดำรงอยู่
แม้แต่นกกระจอกก็ยังหารังได้
    แม่นกนางแอ่นหารังสำหรับตัวเอง
    เพื่อให้ลูกน้อยได้อยู่ใกล้กับแท่นบูชาของพระองค์
โอ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา กษัตริย์ของข้าพเจ้า
    และพระเจ้าของข้าพเจ้า
บรรดาผู้อยู่ในพระตำหนักของพระองค์จะเป็นสุข
    และสรรเสริญพระองค์เรื่อยไป เซล่าห์

บรรดาผู้ได้รับกำลังจากพระองค์ก็เป็นสุข
    เป็นผู้มีใจมุ่งมั่นจะขึ้นไปยังศิโยน
บรรดาผู้เดินทางผ่านหุบเขาบาคา
    จะทำสถานที่ให้เป็นแหล่งน้ำ
    และยิ่งกว่านั้นฝนต้นฤดูจะเป็นพระพรแก่ทุกแห่งหน
ขณะก้าวไป พวกเขาก็เข้มแข็งขึ้น
    และจะปรากฏ ณ เบื้องหน้าพระเจ้าในศิโยน

โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา โปรดฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
    โปรดเงี่ยหูฟัง โอ พระเจ้าของยาโคบ เซล่าห์
ดูเถิด พระเจ้า โล่ป้องกันของพวกเรา
    และมองดูหน้าผู้ได้รับการเจิมของพระองค์

10 วันเดียวในลานพระตำหนักของพระองค์
    ดีกว่า 1,000 วันในสถานที่อื่นๆ
ข้าพเจ้าอยากเป็นคนเฝ้าประตูที่พระตำหนักของพระเจ้า
    มากกว่าอยู่ในกระโจมของคนชั่ว
11 เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าเป็นดวงอาทิตย์และโล่ป้องกัน
    พระผู้เป็นเจ้ามอบพระคุณและเกียรติ
ไม่มีสิ่งดีใดๆ ที่พระองค์จะยับยั้งไว้
    จากบรรดาผู้มีสัจจะ
12 โอ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา
    คนที่ไว้วางใจในพระองค์ก็เป็นสุข

โปรดให้ชีวิตแก่พวกเราอีก

ถึงหัวหน้าวงดนตรี ของตระกูลโคราห์ เพลงสดุดี

โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์โปรดปรานแผ่นดินของพระองค์
    พระองค์ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของยาโคบคืนสู่สภาพเดิม
พระองค์ยกโทษความชั่วของชนชาติของพระองค์
    พระองค์ลบล้างบาปทั้งปวงของเขา เซล่าห์
พระองค์ถอนความโกรธเกรี้ยวทั้งหมด
    และหันจากความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์

โอ พระเจ้าผู้ช่วยให้รอดพ้นของเรา ทำให้พวกเราคืนสู่สภาพเดิมอีก
    และให้ความไม่พอใจของพระองค์ที่มีต่อพวกเรายุติลงเถิด
พระองค์จะกริ้วพวกเราไปตลอดกาลหรือ
    ความกริ้วของพระองค์จะต้องค้างต่อไปทุกชั่วอายุคนหรือ
พระองค์จะไม่ให้พวกเราคืนสู่สภาพเดิม และให้ชีวิตแก่พวกเรา
    เพื่อชนชาติของพระองค์จะได้ยินดีในพระองค์หรือ
โอ พระผู้เป็นเจ้า ให้พวกเราเห็นความรักอันมั่นคงของพระองค์เถิด
    และให้พวกเราได้รับความรอดพ้น

ข้าพเจ้าจะฟังว่าพระเจ้ากล่าวอะไร
    เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะให้ความสันติสุขแก่ชนชาติของพระองค์ แก่ผู้ภักดีของพระองค์
    แต่พวกเขาอย่าได้หันกลับไปสู่ความโง่เขลาอีกเลย
แน่นอน ความรอดพ้นที่มาจากพระองค์อยู่ใกล้บรรดาผู้เกรงกลัวพระองค์
    เพื่อพระบารมีจะได้อยู่ในแผ่นดินของเรา

10 ความรักอันมั่นคงจะพบกับความสัตย์จริง
    ความชอบธรรมจะสวมกอดกับความสันติสุข
11 ความภักดีจะผุดขึ้นจากแผ่นดินโลก
    และความชอบธรรมจะมองลงมาจากสวรรค์
12 พระผู้เป็นเจ้าจะมอบสิ่งดีๆ ให้ด้วย
    และแผ่นดินโลกของเราจะเกิดผลให้เก็บเกี่ยวได้มาก
13 ความชอบธรรมจะไปล่วงหน้าพระองค์
    และเตรียมทางให้แก่เท้าของพระองค์ที่ย่างไป

โปรดสดับคำอธิษฐาน และสอนวิถีทางของพระองค์

คำอธิษฐานของดาวิด

โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดเงี่ยหูของพระองค์ และตอบข้าพเจ้าเถิด
    เพราะข้าพเจ้าขัดสนและยากไร้
ปกป้องชีวิตข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้ามีใจภักดี
    ช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ที่ไว้วางใจในพระองค์ให้รอดพ้นเถิด พระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า
โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดเมตตาข้าพเจ้า
    เพราะข้าพเจ้าส่งเสียงร้องต่อพระองค์ตลอดวันเวลา
ให้จิตวิญญาณผู้รับใช้ของพระองค์ยินดีเถิด โอ พระผู้เป็นเจ้า
    จิตวิญญาณข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระองค์
โอ พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ประเสริฐ และให้อภัยเสมอ
    อุดมด้วยความรักอันมั่นคงต่อทุกคนที่ร้องเรียกถึงพระองค์
โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดสดับคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
    และฟังคำอ้อนวอนขอความเมตตาของข้าพเจ้า
เวลาข้าพเจ้าทุกข์ยาก ข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระองค์
    เพราะพระองค์ตอบข้าพเจ้า

โอ พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีผู้ใดในปวงเทพเจ้าที่เป็นเหมือนพระองค์
    และไม่มีกิจการใดๆ เหมือนของพระองค์
โอ พระผู้เป็นเจ้า ประชาชาติทั้งปวงที่พระองค์สร้างจะมา
    และก้มลงกราบ ณ เบื้องหน้าพระองค์
    และพวกเขาจะยกย่องพระนามของพระองค์
10 พระองค์ยิ่งใหญ่และกระทำสิ่งอัศจรรย์
    พระองค์เป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
11 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดสอนวิถีทางของพระองค์แก่ข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าจะได้เดินในความสัตย์จริงของพระองค์
    ให้ข้าพเจ้ายำเกรงพระนามของพระองค์โดยไม่เขวไป
12 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอบคุณพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจ
    และข้าพเจ้ายกย่องพระนามของพระองค์ไปตลอดกาล
13 เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อข้าพเจ้านั้นใหญ่ยิ่งนัก
    พระองค์ได้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากส่วนลึกสุดของแดนคนตาย

14 โอ พระเจ้า พวกที่หยิ่งยโสลุกขึ้นต่อต้านข้าพเจ้า
    คนโหดเหี้ยมตามล่าเอาชีวิตข้าพเจ้า
    คนพวกนี้ไม่คิดถึงพระองค์เลย
15 พระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความสงสารและเมตตา
    ไม่โกรธง่าย แต่อุดมด้วยความรักอันมั่นคงและความสัตย์จริง
16 โปรดหันมาและมีเมตตาต่อข้าพเจ้า
    ให้พละกำลังของพระองค์แก่ผู้รับใช้ของพระองค์
    และช่วยบุตรของหญิงผู้รับใช้ของพระองค์ให้รอดพ้นเถิด
17 โปรดให้ข้าพเจ้าเห็นปรากฏการณ์อันแสดงว่าพระองค์โปรดปรานข้าพเจ้า
    เพื่อพวกที่เกลียดชังข้าพเจ้าจะได้เห็นและอับอาย
    โอ พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ได้ช่วยเหลือและปลอบใจข้าพเจ้า

ศิโยน แหล่งกำเนิดของประชาชาติ

ของตระกูลโคราห์ เพลงสดุดี บทเพลง

พระองค์ตั้งฐานรากไว้บนเทือกเขาอันบริสุทธิ์
พระผู้เป็นเจ้ารักประตูของศิโยน
    มากกว่าที่อาศัยทุกแห่งของยาโคบ
โอ เมืองของพระเจ้าเอ๋ย
    เจ้าเป็นที่กล่าวขวัญอย่างน่าสรรเสริญ เซล่าห์

“เราจะประกาศว่า ราหับ[p]และบาบิโลนอยู่ในกลุ่มผู้ที่รู้จักเรา
    แม้แต่ฟีลิสเตีย ไทระ และคูชด้วย
    แล้วจะพูดว่า ‘คนนี้เกิดที่นั่น’”
และจะพูดถึงศิโยนว่า
    “ทุกคนเกิดที่นั่น”
    เพราะองค์ผู้สูงสุดจะเป็นผู้สร้างเมืองนั้น
พระผู้เป็นเจ้าบันทึกในทะเบียนของบรรดาชนชาติว่า
    “คนนี้เกิดที่นั่น” เซล่าห์

บรรดานักร้องและนักร่ายรำต่างพูดกันว่า
    “น้ำพุทั้งหมดของเราอยู่ในศิโยน”

ร้องขอความช่วยเหลือในนาทีวิกฤตของชีวิต

บทเพลง เพลงสดุดีของตระกูลโคราห์ ถึงหัวหน้าวงดนตรีตามเสียงปี่เศร้าโศกา เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของเฮมาน ชาวเอศราค

โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งความรอดพ้นของข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือทุกวี่วัน และปรากฏตัวต่อหน้าพระองค์ทุกค่ำคืน
ให้คำอธิษฐานของข้าพเจ้ามาอยู่ ณ เบื้องหน้าพระองค์
    โปรดเงี่ยหูฟังเสียงร้องของข้าพเจ้า

เพราะจิตวิญญาณของข้าพเจ้าท่วมท้นด้วยความทุกข์
    และชีวิตข้าพเจ้าอยู่ใกล้แดนคนตาย
ข้าพเจ้าถูกนับอยู่ในพวกที่ลงไปในหลุมลึก
    เป็นเหมือนชายที่ไร้กำลัง
เหมือนคนที่ถูกทอดทิ้งไว้กับพวกที่ลงไปยังหลุมลึกแห่งแดนคนตาย
    เหมือนคนถูกแทงที่กำลังนอนอยู่ในหลุมศพ
ซึ่งพระองค์ไม่ระลึกถึงอีกแล้ว
    และถูกตัดขาดจากการดูแลของพระองค์
พระองค์ให้ข้าพเจ้าไปอยู่ที่ก้นหลุมลึก
    ในที่อันมืดมิด ในห้วงน้ำลึก
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระองค์โกรธเกรี้ยวข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าตั้งตัวไม่ติดเนื่องจากความโกรธของพระองค์ที่เป็นดั่งคลื่นหลายลูก เซล่าห์

พระองค์ทำให้บรรดาเพื่อนสนิทห่างเหินไปจากข้าพเจ้า
    พระองค์ทำให้ข้าพเจ้าเป็นที่น่าขยะแขยงต่อพวกเขา
ข้าพเจ้าถูกกักขังและไม่อาจหลบหนีไปได้
    นัยน์ตาข้าพเจ้าพร่าไปด้วยความเศร้า
โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระองค์ทุกวี่ทุกวัน
    ข้าพเจ้าชูมือขึ้นถึงพระองค์
10 พระองค์แสดงสิ่งอัศจรรย์เพื่อคนตายหรือ
    แล้วพวกเขาลุกขึ้นสรรเสริญพระองค์ได้หรือ เซล่าห์
11 ความรักอันมั่นคงของพระองค์ถูกประกาศไว้ในหลุมศพหรือ
    และความสัตย์จริงของพระองค์ในความวิบัติหรือ
12 สิ่งอัศจรรย์ของพระองค์เป็นที่รู้จักในความมืดมิดหรือ
    และความชอบธรรมของพระองค์ในดินแดนที่ถูกลืมหรือ

13 โอ พระผู้เป็นเจ้า สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
    ในยามเช้า คำอธิษฐานของข้าพเจ้าอยู่ ณ เบื้องหน้าพระองค์
14 โอ พระผู้เป็นเจ้า ทำไมพระองค์จึงทอดทิ้งข้าพเจ้า
    ทำไมพระองค์จึงซ่อนหน้าไปเสียจากข้าพเจ้า
15 นับแต่ครั้งยังเยาว์ ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เจียนตาย
    ข้าพเจ้ารับโทษอันน่ากลัวจากพระองค์จนสิ้นหวัง
16 ความโกรธเกรี้ยวอันร้อนแรงของพระองค์โถมเข้าใส่ข้าพเจ้า
    การกระทำอันน่าสะพรึงกลัวของพระองค์ได้ทำลายข้าพเจ้า
17 ดั่งมีน้ำอยู่ล้อมรอบตัวข้าพเจ้าตลอดวันเวลา
    มันท่วมเสียจนมิดหัวข้าพเจ้า
18 พระองค์ทำให้มิตรสหายและคนรักห่างเหินไปจากข้าพเจ้า
    เพื่อนสนิทข้าพเจ้าคือความมืด

ความรักอันมั่นคงของพระเจ้า

เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของเอธาน ชาวเอศราค

ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถึงความรักอันมั่นคงของพระผู้เป็นเจ้าไปตลอดกาล
    ข้าพเจ้าจะทำให้ความสัตย์จริงของพระองค์เป็นที่รู้จักไปทุกกาลสมัยด้วยปากของข้าพเจ้า
เพราะข้าพเจ้าได้ประกาศแล้วว่า ความรักอันมั่นคงของพระองค์จะยืนยงตลอดกาล
    พระองค์สร้างความสัตย์จริงอย่างมั่นคงในฟ้าสวรรค์
พระองค์กล่าวว่า “เราได้ทำพันธสัญญากับผู้ที่ได้รับเลือกไว้
    เราได้ปฏิญาณกับดาวิด ผู้รับใช้ของเรา
‘เราจะทำให้เชื้อสายของเจ้าสืบต่อกันไปจนชั่วนิรันดร์กาล
    ทำให้บัลลังก์ของเจ้ามั่นคงทุกชั่วอายุคน’” เซล่าห์

โอ พระผู้เป็นเจ้า สวรรค์ได้สรรเสริญการกระทำอัศจรรย์ของพระองค์
    และความสัตย์จริงของพระองค์ในที่ประชุมของผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย
ด้วยว่า จะหาใครในสวรรค์ที่เท่าเทียมกับพระผู้เป็นเจ้าได้
    ใครบ้างในหมู่ชาวสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า
พระเจ้าเป็นที่น่าเกรงขามอย่างยิ่งในสภาของผู้บริสุทธิ์ทั้งปวง
    ยิ่งใหญ่และเยี่ยมยอดเหนือกว่าใครๆ ที่อยู่รอบข้างพระองค์
พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา
    ใครบ้างเป็นเหมือนพระองค์ พระองค์มีมหิทธานุภาพ โอ พระผู้เป็นเจ้า
    และความสัตย์จริงของพระองค์อยู่โดยรอบพระองค์
คลื่นทะเลอยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์
    เวลาคลื่นสูงขึ้น พระองค์ก็ทำให้สงบลง
10 พระองค์ปราบราหับ[q]จนราบคาบอย่างซากศพ
    พระองค์ทำให้พวกศัตรูกระเจิดกระเจิงด้วยอานุภาพของพระองค์
11 ฟ้าสวรรค์เป็นของพระองค์ แผ่นดินโลกก็เช่นกัน
    พระองค์ก่อตั้งโลกและทุกสิ่งที่อยู่ในโลกขึ้นมา
12 พระองค์สร้างทิศเหนือและทิศใต้
    ภูเขาทาโบร์และเฮอร์โมนสรรเสริญพระนามของพระองค์ด้วยความยินดี
13 แขนของพระองค์กอปรด้วยฤทธานุภาพ
    มือพระองค์มีพละกำลัง และมือขวายกขึ้นสูง
14 ความชอบธรรมและความเป็นธรรมคือรากฐานแห่งบัลลังก์ของพระองค์
    ความรักอันมั่นคงและความสัตย์จริงตั้งอยู่ ณ เบื้องหน้าพระองค์
15 ชนชาติที่รู้จักร้องเพลงสรรเสริญก็เป็นสุข
    โอ พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจะดำเนินชีวิตในความสว่างของพระองค์
16 เขาจะรื่นเริงใจในพระนามของพระองค์ตลอดวันเวลา
    และจะโห่ร้องในความชอบธรรมของพระองค์
17 เพราะพระองค์เป็นพระบารมีแห่งพละกำลังของพวกเขา
    พระองค์โปรดปรานที่จะชูพละกำลังของพวกเรา
18 โล่ป้องกันเราเป็นของพระผู้เป็นเจ้า
    กษัตริย์เราเป็นขององค์ผู้บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล

19 นานมาแล้ว พระองค์กล่าวกับผู้ภักดีของพระองค์ในภาพนิมิตว่า
    “เราให้ความช่วยเหลือแก่ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง
    เรายกคนหนึ่งที่ได้เลือกไว้ขึ้นจากชนชาติ
20 เราได้พบดาวิดผู้รับใช้ของเรา
    เราเจิมเขาด้วยน้ำมันอันบริสุทธิ์
21 มือของเราจะค้ำจุนเขาอย่างมั่นคง
    และแขนของเราจะทำให้เขาเก่งกาจ
22 ไม่มีศัตรูใดๆ จะเอาชนะเขาได้
    ไม่มีคนชั่วคนไหนที่จะลบหลู่เขาได้
23 เราจะขยี้พวกข้าศึกต่อหน้าเขา
    และฆ่าคนที่เกลียดชังเขา
24 ความสัตย์จริงและความรักอันมั่นคงของเราจะอยู่กับเขา
    พละกำลังของเขาจะถูกเชิดชูโดยนามของเรา
25 เราจะวางมือข้างหนึ่งของเขาที่ทะเล
    และมือขวาของเขาวางที่แม่น้ำ
26 เขาจะส่งเสียงร้องถึงเราว่า ‘พระองค์เป็นบิดาของข้าพเจ้า
    พระเจ้าของข้าพเจ้า และศิลาแห่งความรอดพ้นของข้าพเจ้า’
27 เราจะให้เขาเป็นบุตรหัวปีของเรา
    ผู้อยู่เหนือบรรดากษัตริย์ของแผ่นดินโลก
28 เราจะรักษาความรักอันมั่นคงของเราเพื่อเขาไปตลอดกาล
    พันธสัญญาของเราที่มีต่อเขาจะมั่นคง
29 เราจะสถาปนาเชื้อสายของเขาให้สืบต่อกันไปตลอดกาล
    บัลลังก์ของเขาจะยืนยงตราบที่ท้องฟ้าจะคงอยู่
30 หากว่าผู้สืบเชื้อสายของเขาละเลยกฎบัญญัติของเรา
    และไม่ดำเนินตามคำสั่งของเรา
31 ถ้าพวกเขาฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของเรา
    และไม่รักษาบัญญัติของเรา
32 เราจะลงโทษบาปของพวกเขาด้วยไม้เรียว
    และความชั่วด้วยการเฆี่ยน
33 แต่เราจะไม่พรากความรักอันมั่นคงของเราไปจากดาวิด
    และไม่คืนความสัตย์จริงที่เรามีต่อเขา
34 เราจะไม่ฝ่าฝืนพันธสัญญาของเรา
    หรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราได้สัญญาไว้
35 เราได้ปฏิญาณในความบริสุทธิ์ของเราไว้ครั้งเดียวเป็นพอ
    เราไม่หลอกลวงดาวิด
36 เชื้อสายของเขาจะคงอยู่ไปตลอดกาล
    และบัลลังก์ของเขาเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ส่อง ณ เบื้องหน้าเรา
37 และจะได้รับการสถาปนาตลอดกาลอย่างดวงจันทร์
    ที่เป็นพยานอันมั่นคง[r]บนท้องฟ้า” เซล่าห์

38 แต่พระองค์ปฏิเสธและไม่ใยดี
    พระองค์กริ้วผู้ที่พระองค์เจิม
39 พระองค์ยกเลิกพันธสัญญากับผู้รับใช้ของพระองค์
    และทำให้มงกุฎของท่านเป็นมลทิน ตกอยู่ในกองธุลี
40 พระองค์ทลายกำแพงเมืองของท่านลงทุกด้าน
    และทิ้งให้หลักอันแข็งแกร่งต้องพังทลายลง
41 ทุกคนที่ผ่านมาก็ริบทุกสิ่งไปจากท่าน
    ท่านกลายเป็นที่ถูกดูหมิ่นของบรรดาเพื่อนบ้าน
42 พระองค์ได้ยกชูมือขวาของข้าศึกของท่าน
    พระองค์ทำให้ศัตรูทั้งปวงของท่านยินดี
43 พระองค์หันคมดาบของท่าน
    และไม่ช่วยท่านในการสงคราม
44 พระองค์ยุติความยิ่งใหญ่ของท่านลง
    และล้มบัลลังก์ของท่านลงสู่พื้นดิน
45 พระองค์ทำให้วันเวลาในวัยหนุ่มของท่านสั้นลง
    พระองค์ให้ท่านสวมใส่ความอับอาย เซล่าห์

46 โอ พระผู้เป็นเจ้า นานเพียงไร พระองค์จะซ่อนไปตลอดกาลหรือ
    ความกริ้วของพระองค์จะลุกเป็นไฟนานเพียงไร
47 ขอพระองค์ระลึกเถิดว่า ชีวิตคนอยู่ได้นานเพียงไร
    พระองค์ได้สร้างบรรดามนุษยชาติโดยเปล่าประโยชน์เพียงไร
48 มนุษย์คนไหนมีชีวิตอยู่โดยไม่เห็นความตาย
    หรือช่วยชีวิตของตนให้พ้นจากเงื้อมมือของแดนคนตาย เซล่าห์

49 โอ พระผู้เป็นเจ้า ความรักอันมั่นคงของพระองค์ที่เคยสำแดงเป็นคำปฏิญาณ
    ที่พระองค์ได้ทำไว้กับดาวิดอยู่ที่ไหนแล้ว
50 พระผู้เป็นเจ้า ขอระลึกถึงผู้รับใช้ที่ถูกเย้ยหยัน
    และความรู้สึกในใจที่ข้าพเจ้าต้องรับแบกเพราะการดูหมิ่นของชนชาติจำนวนมาก
51 โอ พระผู้เป็นเจ้า เป็นพวกศัตรูของพระองค์ที่เย้ยหยัน
    เขาเย้ยหยันผู้ได้รับการเจิมของพระองค์ทุกฝีก้าว

52 สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์
อาเมน และอาเมน

Footnotes

  1. 74:14 ในยุคโบราณ สัตว์ขนาดมหึมานี้เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจที่ชั่วร้ายและยุ่งเหยิง ภาษาฮีบรูออกเสียงว่า ลิฟยาธาน
  2. 76:2 ชื่อเดิมของเยรูซาเล็ม ฉบับปฐมกาล 14:18
  3. 78:2 มัทธิว 13:35
  4. 78:6 เฉลยธรรมบัญญัติ 6:6,7
  5. 78:13 อพยพ 14:21-29
  6. 78:14 อพยพ 13:21,22
  7. 78:16 อพยพ 17:6; กันดารวิถี 20:10-13
  8. 78:31 ข้อ 18-31 อ้างอิงถึงเรื่องในฉบับอพยพ 6:2-15; กันดารวิถี 11:1-23,31-35
  9. 78:51 ข้อ 44-51 อ้างอิงถึงเรื่องในฉบับอพยพ 7:14-12:32
  10. 78:60 สถานที่นมัสการสำคัญแห่งใหญ่ ในสมัยก่อนกษัตริย์ดาวิด
  11. 80:8 เถาองุ่นในที่นี้หมายถึงประเทศอิสราเอล
  12. 80:15 เถาอ่อน ได้อีกใจความคือ บุตร
  13. 81:3 ทำจากเขาแกะ
  14. 81:7 อพยพ 17:1-7; กันดารวิถี 20:2-13
  15. 82:6 ยอห์น 10:34
  16. 87:4 ในที่นี้หมายถึงประเทศอียิปต์ ฉบับอิสยาห์ 30:7
  17. 89:10 ในที่นี้หมายถึงมังกรทะเลที่เป็นตัวแทนพลังแห่งความชั่วร้าย ฉบับโยบ 9:13; 26:12; อิสยาห์ 51:9
  18. 89:37 2 ซามูเอล 7:8-16