มีคายาห์พยากรณ์เกี่ยวกับอาหับ(A)

18 กษัตริย์เยโฮชาฟัททรงมั่งคั่งและมีเกียรติมาก ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับอาหับโดยการอภิเษกสมรส ต่อมาเยโฮชาฟัทเสด็จไปเยือนอาหับที่เมืองสะมาเรีย อาหับล้มแกะและวัวมากมายเพื่อรับรองเยโฮชาฟัทกับคณะ แล้วตรัสชวนเยโฮชาฟัทไปโจมตีเมืองราโมทกิเลอาด อาหับแห่งอิสราเอลตรัสถามเยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ว่า “ท่านจะช่วยข้าพเจ้ารบกับราโมทกิเลอาดไหม?”

เยโฮชาฟัทตรัสตอบว่า “เราสองเป็นพวกเดียวกัน คนของข้าพเจ้าก็เหมือนเป็นคนของท่าน เราจะออกรบร่วมกับท่าน” แต่เยโฮชาฟัทตรัสกับกษัตริย์อิสราเอลอีกว่า “เราควรทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าก่อน”

กษัตริย์อิสราเอลจึงทรงเรียกผู้เผยพระวจนะราวสี่ร้อยคนมาเข้าเฝ้า และตรัสถามว่า “เราควรจะไปรบกับราโมทกิเลอาดหรือเราควรจะยับยั้งไว้?”

เขาเหล่านั้นทูลว่า “ไปเลยพระเจ้าข้า เพราะพระเจ้าจะทรงมอบดินแดนนั้นไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”

แต่เยโฮชาฟัทตรัสถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ถามเลยหรือ?”

กษัตริย์อิสราเอลตรัสตอบเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีอยู่คนหนึ่งซึ่งเราจะทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าผ่านทางเขาได้ แต่ข้าพเจ้าเกลียดเขา เพราะเขาไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีๆ เกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย มีแต่เรื่องร้ายๆ เขาคือมีคายาห์บุตรอิมลาห์”

เยโฮชาฟัทตรัสว่า “พระองค์อย่าตรัสเช่นนั้นเลย”

ดังนั้นกษัตริย์อิสราเอลจึงทรงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่งมาและสั่งว่า “จงนำตัวมีคายาห์บุตรอิมลาห์มาเดี๋ยวนี้”

ทั้งกษัตริย์อิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ทรงฉลองพระองค์เต็มยศประทับอยู่บนพระที่นั่งในลานนวดข้าวใกล้ประตูเมืองสะมาเรีย ในขณะที่กลุ่มผู้เผยพระวจนะก็กล่าวพยากรณ์ไปต่อหน้า 10 ฝ่ายเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์ได้ทำเขาเหล็กขึ้นมาและประกาศว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าจะขวิดพวกอารัมด้วยเขาเหล็กนี้จนพวกเขาย่อยยับไป’ ”

11 ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ ทั้งหมดก็กำลังพยากรณ์อย่างเดียวกันว่า “จงบุกเข้าโจมตีราโมทกิเลอาดและมีชัยชนะเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”

12 คนที่ไปตามตัวมีคายาห์ได้กล่าวกับเขาว่า “ดูเถิด ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ ล้วนแต่ทำนายเป็นเสียงเดียวกันว่ากษัตริย์จะชนะ ขอให้ท่านกล่าวไปในทางที่ดีเช่นเดียวกับพวกเขา”

13 แต่มีคายาห์กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะพูดแต่สิ่งที่พระเจ้าของข้าพเจ้าตรัสฉันนั้น”

14 เมื่อเขามาถึง กษัตริย์ตรัสถามว่า “มีคายาห์เอ๋ย เราควรจะไปรบกับราโมทกิเลอาดหรือเราควรจะยับยั้งไว้?”

มีคายาห์ทูลว่า “จงบุกเข้าโจมตีราโมทกิเลอาดและมีชัยชนะเถิด เพราะพวกเขาจะถูกมอบไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”

15 กษัตริย์ตรัสว่า “เราจะต้องให้เจ้าสาบานกี่ครั้งกี่หนว่าจะบอกแต่ความจริงแก่เราในพระนามพระยาห์เวห์?”

16 มีคายาห์จึงทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายไปตามภูเขาต่างๆ เหมือนแกะไม่มีคนเลี้ยง และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีนาย ให้ทุกคนกลับบ้านโดยสวัสดิภาพเถิด’ ”

17 กษัตริย์อิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่า เขาไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีๆ เกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย มีแต่เรื่องร้ายทั้งนั้น?”

18 มีคายาห์กล่าวต่อไปว่า “ฉะนั้นจงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ ทูตสวรรค์ทั้งปวงยืนเฝ้าทั้งซ้ายและขวา 19 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘ใครจะหลอกล่อกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลให้ไปโจมตีราโมทกิเลอาดและตายที่นั่น?’

“มีผู้ทูลเสนอต่างๆ นานา 20 ในที่สุดมีวิญญาณดวงหนึ่งก้าวออกมายืนต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและกราบทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะหลอกล่อเขา’

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามว่า ‘ทำอย่างไร?’

21 “วิญญาณนั้นทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะไปเป็นวิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของอาหับ’

“พระองค์จึงตรัสว่า ‘เจ้าจะหลอกล่อเขาสำเร็จ ไปทำตามนั้นเถิด’

22 “ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงใส่วิญญาณมุสาในปากผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ของฝ่าพระบาท องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีประกาศิตให้ฝ่าพระบาทถึงแก่หายนะแล้ว”

23 แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์จึงเข้ามาตบหน้ามีคายาห์และถามว่า “พระวิญญาณจาก[a]องค์พระผู้เป็นเจ้าออกจากข้าไปพูดกับเจ้าได้อย่างไร?”

24 มีคายาห์ตอบว่า “ท่านจะรู้คำตอบในวันที่ท่านไปหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องชั้นใน”

25 กษัตริย์อิสราเอลจึงตรัสสั่งว่า “จงคุมตัวมีคายาห์กลับไปหาอาโมนผู้ว่าการของเมืองนี้และโยอาชบุตรของเรา 26 บอกสองคนนั้นว่า ‘กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่าจงขังชายผู้นี้ไว้ในคุก ให้แต่ขนมปังและน้ำประทังชีวิต จนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย’ ”

27 มีคายาห์ประกาศว่า “หากฝ่าพระบาทกลับมาอย่างปลอดภัย ก็แสดงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ตรัสผ่านทางข้าพเจ้า” แล้วเขาก็กล่าวอีกว่า “ทุกคนจงจำคำพูดของข้าพเจ้าไว้!”

อาหับถูกสังหารที่ราโมทกิเลอาด(B)

28 ดังนั้นกษัตริย์อิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์จึงเสด็จไปยังราโมทกิเลอาด 29 กษัตริย์อิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ข้าพเจ้าจะปลอมตัวไปออกรบ ส่วนท่านแต่งเครื่องทรงกษัตริย์ของท่านเถิด” แล้วกษัตริย์อิสราเอลก็ทรงปลอมพระองค์และเสด็จออกรบ

30 ฝ่ายกษัตริย์อารัมได้ทรงบัญชาผู้บัญชาการรถรบของพระองค์ว่า “อย่าต่อสู้กับใคร ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือผู้น้อย แต่จงต่อสู้กับกษัตริย์อิสราเอลเพียงองค์เดียวเท่านั้น” 31 เมื่อผู้บัญชาการรถรบเหล่านั้นเห็นเยโฮชาฟัท พวกเขาก็คิดว่า “นี่เป็นกษัตริย์อิสราเอล” จึงหันมาโจมตี แต่เยโฮชาฟัทร้องขึ้นมาและองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยไว้ พระเจ้าทรงให้พวกเขาถอยห่างไปจากกษัตริย์ 32 เพราะเมื่อผู้บัญชาการรถรบเหล่านั้นเห็นว่าไม่ใช่กษัตริย์อิสราเอล ก็เลิกไล่ล่าพระองค์

33 แต่มีคนหนึ่งยิงธนูสุ่มไปถูกกษัตริย์อิสราเอลตรงช่วงรอยต่อของเสื้อเกราะ พระองค์จึงตรัสกับพลขับว่า “จงกลับรถพาเราออกจากสนามรบ เราบาดเจ็บแล้ว” 34 สงครามดำเนินไปอย่างดุเดือดตลอดทั้งวัน กษัตริย์อิสราเอลทรงประคองพระองค์เองไว้ในรถม้าศึก ให้ประจันหน้ากับชาวอารัมจนตกเย็น เมื่อดวงอาทิตย์ตกก็สิ้นพระชนม์

Footnotes

  1. 18:23 หรือพระวิญญาณของ

เยโฮชาฟัทเป็นพันธมิตรกับอาหับ

18 เยโฮชาฟัทมีทรัพย์สมบัติและเกียรติยศมาก และท่านเป็นพันธมิตรกับอาหับโดยการสมรส หลายปีต่อมา ท่านลงไปเยี่ยมเยียนอาหับที่สะมาเรีย อาหับก็ให้ฆ่าแกะและโคมากมายเพื่อเลี้ยงรับรองท่านและผู้ติดตาม แล้วก็ชักชวนท่านให้ขึ้นไปโจมตีราโมทกิเลอาด อาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลพูดกับเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “ท่านจะไปราโมทกิเลอาดด้วยกันกับเราไหม” ท่านตอบว่า “เราพร้อมจะไปอย่างแน่นอน ทหารของเราก็เป็นเหมือนทหารของท่าน เราจะไปรบด้วยกันกับท่าน”

และเยโฮชาฟัทพูดกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ขอให้ท่านถามพระผู้เป็นเจ้าก่อน” กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเรียกประชุมบรรดาผู้เผยคำกล่าว 400 คน และถามว่า “พวกเราควรจะไปโจมตีราโมทกิเลอาด หรือว่าเราควรจะยั้งไว้ก่อน” เขาทั้งหลายตอบว่า “ขึ้นไปเถิด เพราะว่าพระเจ้าจะมอบเมืองนั้นไว้ในมือของกษัตริย์” แต่เยโฮชาฟัทถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าที่พวกเราจะถามได้อีกหรือ” กษัตริย์แห่งอิสราเอลพูดกับเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีอีกคนที่พวกเราจะถามพระผู้เป็นเจ้าผ่านเขาได้ มิคายาห์บุตรของอิมลาห์ แต่เราเกลียดชังเขา เพราะเขาไม่เคยเผยความเกี่ยวกับเราในเรื่องดี มีแต่เรื่องร้าย” และเยโฮชาฟัทพูดว่า “ขอท่านอย่าพูดเช่นนั้นเลย” แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็เรียกขันทีคนหนึ่งมา และสั่งว่า “พามิคายาห์บุตรของอิมลาห์มาโดยด่วน” กษัตริย์แห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็กำลังนั่งบนบัลลังก์ ทรงเครื่องด้วยเสื้อคลุมของกษัตริย์ อยู่ที่ลานนวดข้าว ที่ทางเข้าของประตูเมืองสะมาเรีย และบรรดาผู้เผยคำกล่าวก็กำลังเผยความต่อหน้าท่านทั้งสอง 10 เศเดคียาห์บุตรเค-นาอะนาห์ ได้ทำเขาสัตว์ด้วยเหล็กกล้าคู่หนึ่ง เขาพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘เจ้าจะโจมตีชาวอารัมจนกระทั่งพวกเขาพินาศไปด้วยเขาสัตว์นี้’” 11 และบรรดาผู้เผยคำกล่าวเห็นด้วย และพูดว่า “จงขึ้นไปโจมตีราโมทกิเลอาด และท่านจะชนะ พระผู้เป็นเจ้าจะมอบเมืองนั้นไว้ในมือของกษัตริย์”

12 ผู้ถือสาสน์เป็นคนที่ไปเรียกมิคายาห์ให้มา และบอกเขาว่า “ดูเถิด บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดกันเป็นเสียงเดียวถึงเรื่องของกษัตริย์ในทางที่ดีงาม” 13 แต่มิคายาห์พูดว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด พระเจ้าบอกข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าก็จะพูดไปตามนั้น” 14 เมื่อเขามาเข้าเฝ้ากษัตริย์ กษัตริย์กล่าวกับเขาว่า “มิคายาห์ พวกเราควรจะไปโจมตีราโมทกิเลอาด หรือว่าเราควรจะยั้งไว้ก่อน” เขาตอบกษัตริย์ว่า “ขึ้นไปเถิด และท่านจะชนะ พวกเขาจะถูกมอบไว้ในมือของท่าน” 15 แต่กษัตริย์กล่าวกับเขาว่า “เราควรจะให้ท่านสาบานกี่ครั้งว่า ท่านพูดแต่ความจริงกับเราในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า 16 มิคายาห์จึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นทหารอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายอยู่บนภูเขา ประหนึ่งฝูงแกะที่ปราศจากผู้เลี้ยงดู และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘คนเหล่านี้ขาดเจ้านาย ปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านไปด้วยความปลอดภัยเถิด’” 17 และกษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวกับเยโฮชาฟัทว่า “เราบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่า เขาจะไม่ประกาศสิ่งดีใดๆ ที่พระเจ้าเปิดเผยให้ทราบ มีแต่เรื่องร้าย” 18 มิคายาห์กล่าวว่า “ฉะนั้นจงฟังคำของพระผู้เป็นเจ้าเถิด ข้าพเจ้าเห็นพระผู้เป็นเจ้าสถิตบนบัลลังก์ของพระองค์ และบรรดาชาวสวรรค์กำลังยืนอยู่ที่เบื้องขวาและเบื้องซ้าย 19 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘ใครจะหลอกล่ออาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลให้ไปยังราโมทกิเลอาด เขาจะได้จบชีวิตลงที่นั่น’ ทูตสวรรค์องค์หนึ่งพูดอย่างหนึ่ง และทูตสวรรค์อีกองค์ก็พูดอีกอย่าง 20 ครั้นแล้ว วิญญาณดวงหนึ่งก็มายืน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปหลอกล่ออาหับเอง’ และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับวิญญาณว่า ‘ด้วยวิธีไหน’ 21 วิญญาณตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปทำให้บรรดาผู้เผยคำกล่าวของอาหับพูดเท็จ’ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘เจ้าจะไปหลอกล่อเขาได้สำเร็จ ไปทำตามนั้นเถิด’ 22 ดังนั้น ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าได้ทำให้บรรดาผู้เผยคำกล่าวของท่านพูดเท็จ เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าบอกล่วงหน้าว่าสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับท่าน”

23 แล้วเศเดคียาห์บุตรของเค-นาอะนาห์เข้ามาใกล้ และตบหน้ามิคายาห์ และพูดว่า “พระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าจากเราไป และไปพูดกับเจ้าได้อย่างไร” 24 มิคายาห์พูดว่า “ดูเถิด ท่านจะเห็นในวันนั้น เวลาที่ท่านเข้าไปซ่อนตัวในห้องชั้นใน” 25 กษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวว่า “จงจับตัวมิคายาห์ไว้ และพาตัวกลับไปให้อาโมน ผู้ว่าราชการเมือง และโยอาชบุตรของกษัตริย์ 26 และบอกว่า ‘กษัตริย์กล่าวดังนี้ “จำคุกชายคนนี้เสีย และประทังชีวิตเขาด้วยขนมปังและน้ำเท่านั้น จนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย”’” 27 และมิคายาห์พูดว่า “ถ้าท่านกลับมาอย่างปลอดภัย พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้กล่าวผ่านข้าพเจ้า” และพูดต่ออีกว่า “ขอให้ท่านทุกคนฟังไว้เถิด”

อาหับถูกฆ่าในสนามรบ

28 ดังนั้น กษัตริย์แห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็ไปโจมตีเมืองราโมทกิเลอาด 29 กษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวกับเยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัวเข้าไปในสนามรบ ส่วนท่านก็สวมเสื้อคลุมของกษัตริย์ไป” ดังนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงปลอมตัวเข้าไปในสนามรบ 30 ฝ่ายกษัตริย์แห่งอารัมได้สั่งผู้บัญชาการรถศึกว่า “ไม่ต้องต่อสู้กับผู้ใดเลย นอกจากกษัตริย์แห่งอิสราเอลเท่านั้น” 31 เมื่อบรรดาผู้บัญชาการรถศึกเห็นเยโฮชาฟัท ก็พูดว่า “นั่นเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล” ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปโจมตีท่าน แต่เยโฮชาฟัทก็ส่งเสียงร้อง และพระผู้เป็นเจ้าก็ช่วยท่าน 32 ครั้นผู้บัญชาการรถศึกทราบว่า ท่านไม่ใช่กษัตริย์แห่งอิสราเอล จึงได้ถอยกลับ และหยุดตามไล่ฆ่าท่าน 33 แต่ชายผู้หนึ่งสุ่มยิงธนูออกไป ลูกธนูเจาะระหว่างเกราะป้องกันตัวกับเกราะหุ้มหน้าอกกษัตริย์แห่งอิสราเอล ดังนั้นท่านสั่งสารถีว่า “หันกลับไป พาเราออกจากสนามรบ เพราะเราบาดเจ็บ” 34 การสู้รบในวันนั้นก็ดำเนินต่อไป และกษัตริย์แห่งอิสราเอลถูกพยุงตัวขึ้นในรถศึกโดยหันหน้าไปทางชาวอารัมจนถึงเวลาเย็น ท่านสิ้นชีวิตตอนตะวันตกดิน

มีคายาห์เตือนกษัตริย์อาหับ

(1 พกษ. 22:1-28)

18 ในเวลานั้น เยโฮชาฟัทมีทรัพย์สมบัติมากมายและมีชื่อเสียงมาก และเขาเป็นพันธมิตรกับกษัตริย์อาหับด้วยการแต่งงาน[a]กับราชวงศ์นั้น อีกหลายปีต่อมา เขาลงไปเยี่ยมเยียนกษัตริย์อาหับในเมืองสะมาเรีย อาหับได้ฆ่า[b] แกะและวัวหลายตัวเพื่อเลี้ยงดูเขาและคนที่มากับเขา และได้ยุยงเขาให้โจมตีราโมทกิเลอาด กษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลถามกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ว่า “ท่านจะไปสู้รบกับราโมทกิเลอาดด้วยกันกับเราไหม” เยโฮชาฟัทตอบว่า “เรากับท่านก็เป็นเหมือนคนๆเดียวกัน ทหารของเราก็เป็นเหมือนกับทหารของท่าน พวกเราจะเข้าร่วมสงครามกับท่านด้วย” แต่เยโฮชาฟัทยังพูดกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “แต่ก่อนอื่น ให้เราไปขอคำปรึกษาจากพระยาห์เวห์ก่อน”

ดังนั้น กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงพาพวกผู้พูดแทนพระเจ้ามาสี่ร้อยคนและถามพวกเขาว่า “พวกเราควรจะไปทำสงครามกับราโมท-กิเลอาดหรือไม่ หรือว่าให้รอไว้ก่อน” พวกเขาตอบว่า “ไปเถิด เพราะพระเจ้าจะมอบมันให้อยู่ในกำมือของท่าน”

แต่เยโฮชาฟัทถามว่า “ยังมีคนอื่นที่เป็นผู้พูดแทนพระยาห์เวห์อยู่ที่นี่หรือเปล่า ที่เราจะสอบถามเขาได้”

กษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลตอบเยโฮชาฟัทไปว่า “ยังมีอยู่อีกคนหนึ่ง ชื่อ มีคายาห์ เขาเป็นลูกชายของอิมลาห์ เราจะถามพระยาห์เวห์ผ่านทางเขาได้ แต่เราเกลียดเขา เพราะเมื่อเขาพูดแทนพระเจ้า เขาไม่เคยพูดอะไรดีๆเกี่ยวกับเราเลย มีแต่เรื่องร้ายๆ”

เยโฮชาฟัทตอบว่า “กษัตริย์ไม่ควรพูดอย่างนั้น”

ดังนั้น กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเรียกเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของเขามาและสั่งว่า “เร็วเข้า ไปนำตัว มีคายาห์ลูกชายของอิมลาห์มา”

กษัตริย์ของอิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทของยูดาห์ใส่ชุดกษัตริย์เต็มยศ นั่งอยู่บนบัลลังก์ของพวกเขาที่ลานนวดข้าวตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย โดยมีเหล่าผู้พูดแทนพระเจ้าอยู่ต่อหน้าพวกเขา ที่กำลังอ้างว่าพูดแทนพระเจ้าอยู่ 10 ตอนนั้น เศเดคียาห์ลูกชายของเคนาอะนาห์ได้ทำเขาสัตว์เหล็กขึ้นและมาประกาศว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด ‘พวกท่านจะได้ใช้ของเหล่านี้ทิ่มแทงพวกอารัมจนกระทั่งพวกนั้นถูกทำลายไป’”

11 พวกผู้พูดแทนพระเจ้าที่เหลือทั้งหมดต่างทำนายเหมือนกันหมด พวกเขาพูดว่า “บุกไปโจมตีราโมท-กิเลอาดเลย แล้วท่านจะได้รับชัยชนะ เพราะพระยาห์เวห์จะให้มันตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์”

12 ผู้ส่งข่าวที่ไปเรียกมีคายาห์ พูดกับเขาว่า “ดูเถิด พวกผู้พูดแทนพระเจ้าต่างทำนายถึงความสำเร็จของกษัตริย์เหมือนกันหมด ขอให้ท่านพูดเหมือนกับพวกเขาและให้พูดแต่สิ่งที่ดีด้วยเถิด”

13 แต่มีคายาห์กลับพูดว่า “พระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า พระเจ้าของผมพูดอะไร ผมก็จะพูดอย่างนั้น”

14 เมื่อเขามาถึง กษัตริย์อาหับถามเขาว่า “มีคายาห์ พวกเราควรจะออกไปสู้รบกับราโมท-กิเลอาด หรือจะหยุดอยู่ก่อนดี” เขาตอบกษัตริย์ไปว่า “บุกไปเถิดและท่านจะได้รับชัยชนะ เพราะพวกนั้นจะตกอยู่ในกำมือของท่าน”

15 กษัตริย์อาหับพูดกับเขาว่า “เราให้เจ้าสาบานไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ว่าให้เจ้าพูดแต่ความจริงกับเรา ในนามของพระยาห์เวห์”

16 แล้วมีคายาห์ก็ตอบไปว่า “เราได้เห็นชนชาติอิสราเอลทั้งหมดต้องกระจัดกระจายไปตามแถบเนินเขา เหมือนกับแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง และพระยาห์เวห์ได้พูดว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีเจ้านาย ให้พวกเขาทุกคนกลับบ้านไปอย่างสันติเถิด’”

17 กษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลจึงพูดกับเยโฮชาฟัทว่า “เห็นไหม เราบอกท่านแล้ว ว่าเขาไม่เคยพูดสิ่งดีๆเกี่ยวกับเราเลย มีแต่เรื่องร้ายๆ”

18 มีคายาห์พูดอีกว่า “ฟังคำพูดของพระยาห์เวห์ให้ดี เราเห็นพระยาห์เวห์นั่งอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์ พร้อมกับกองทัพสวรรค์ทั้งหมดยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของพระองค์ 19 และพระยาห์เวห์พูดว่า ‘ใครจะเป็นผู้ล่อลวงกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลให้ไปบุกราโมท-กิเลอาดและไปตายอยู่ที่นั่น’ ทูตสวรรค์ผู้หนึ่งแนะนำวิธีหนึ่ง และอีกผู้หนึ่งก็แนะนำอีกวิธีหนึ่ง 20 ในที่สุด วิญญาณท่านหนึ่งก็ก้าวออกมายืนอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์และพูดว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปล่อลวงเขาเอง’ พระยาห์เวห์จึงถามเขาว่า ‘เจ้าจะใช้วิธีอะไรหรือ’ 21 วิญญาณท่านนั้นตอบไปว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปเป็นวิญญาณที่โกหกอยู่ที่ปากของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าของเขาทุกคน’ พระยาห์เวห์จึงพูดว่า ‘เจ้าจะล่อลวงเขาได้สำเร็จแน่ ไปลงมือเถิด’

22 ดังนั้น ในเวลานี้ พระยาห์เวห์ได้วางวิญญาณโกหกไว้ที่ปากของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าเหล่านั้นของท่าน พระยาห์เวห์ได้ออกคำสั่งให้ความหายนะมาสู่ท่านแล้ว”

23 แล้วเศเดคียาห์ลูกชายของเคนาอะนาห์ก็ขึ้นไปตบหน้าของมีคายาห์ เขาถามว่า “ถ้าอย่างนั้น พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไปทางไหน เมื่อพระองค์ออกจากเราเพื่อที่จะไปพูดกับเจ้า” 24 มีคายาห์ตอบว่า “ท่านจะรู้เองในวันที่ท่านไปหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องด้านในสุด”

25 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลสั่งไปว่า “จับตัวมีคายาห์ส่งกลับไปให้กับอาโมนเจ้าเมืองและโยอาชลูกชายของเรา 26 และบอกกับพวกเขาว่า ‘กษัตริย์สั่งว่า ให้เอาตัวเจ้าหมอนี่ไปขังไว้ในคุก อย่าให้อะไรกับมัน นอกจากขนมปังและน้ำ จนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย’”

27 มีคายาห์ประกาศไปว่า “ประชาชนทั้งหลาย ฟังให้ดี ถ้าอาหับกลับมาอย่างปลอดภัย ก็แสดงว่าพระยาห์เวห์ไม่ได้พูดผ่านเรา”

อาหับถูกฆ่าตายที่ราโมทกิเลอาด

(1 พกษ. 22:29-40)

28 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทของยูดาห์จึงยกขึ้นไปสู้รบกับชาวอารัมที่เมืองราโมท-กิเลอาด 29 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลพูดกับกษัตริย์เยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัวเข้าไปรบ แต่ท่านสวมเสื้อกษัตริย์ของท่าน” กษัตริย์อาหับของอิสราเอลจึงได้ปลอมตัวเป็นทหารธรรมดาและพวกเขาเข้าไปสู้รบ

30 ในขณะนั้น กษัตริย์ของชาวอารัมสั่งพวกผู้บัญชาการกองทัพรถรบของเขาว่า “อย่าได้ไล่ตามใครไป ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ยกเว้นกษัตริย์ของอิสราเอลเท่านั้น” 31 เมื่อพวกผู้บัญชาการกองทัพรถรบเห็นเยโฮชาฟัท พวกเขาพูดว่า “เขาต้องเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลแน่ๆ” พวกเขาจึงได้หันไปสู้กับเยโฮชาฟัท แต่เมื่อเยโฮชาฟัทร้องออกมา และพระยาห์เวห์ได้ช่วยเขา พระองค์ดึงพวกนั้นไปจากเขา 32 เพราะเมื่อพวกผู้บัญชาการกองทัพรถรบรู้ว่าเขาไม่ใช่กษัตริย์ของอิสราเอล จึงหยุดไล่ตามเขาไป 33 แต่มีคนหนึ่งโก่งคันธนูของเขายิงออกไปแบบสุ่มๆไปถูกกษัตริย์ของอิสราเอลเข้าตรงช่องว่างของเสื้อเกราะ กษัตริย์บอกกับคนขับรถรบของเขาว่า “กลับรถไปและพาเราออกจากสนามรบ เราได้รับบาดเจ็บ” 34 การรบครั้งนี้ยาวนานตลอดทั้งวันและดุเดือดมาก และกษัตริย์อาหับของอิสราเอลยันตัวเองไว้กับรถรบของเขา เผชิญหน้ากับพวกอารัม จนกระทั่งถึงเย็น เมื่อดวงอาทิตย์ตกดินเขาก็ตาย

Footnotes

  1. 18:1 เขาเป็นพันธมิตร … แต่งงาน ลูกชายของเยโฮชาฟัทคือเยโฮรัมได้แต่งงานกับอาธาลิยาห์ที่เป็นลูกสาวของอาหับ ดูใน 2 พงศาวดาร 21:6
  2. 18:2 ฆ่า คือ “บูชา” เป็นการฆ่าสัตว์พิเศษและถวายมันบนแท่นบูชาเพื่อให้เป็นของขวัญแก่พระเจ้า