เบนฮาดัดโจมตีสะมาเรีย

20 ครั้งนั้นกษัตริย์เบนฮาดัดแห่งอารัมยกกองทัพมาสมทบกับกษัตริย์ 32 องค์ พร้อมรถม้าศึกและม้าเข้าล้อมและโจมตีสะมาเรีย เบนฮาดัดส่งทูตเข้ามาในเมืองแจ้งกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลว่า “เบนฮาดัดตรัสว่า ‘เงินและทองของท่านเป็นของเรา มเหสีและโอรสธิดาที่ดีที่สุดของท่านก็เป็นของเราด้วย’ ”

กษัตริย์อิสราเอลตอบว่า “ข้าแต่เจ้านาย ตกลงตามที่ท่านว่า ข้าพเจ้าและทั้งหมดที่ข้าพเจ้ามีเป็นของท่าน”

แล้วทูตกลับมาแจ้งอีกว่า “เบนฮาดัดตรัสว่า ‘เราส่งคนมาเรียกร้องเอาเงินและทอง มเหสี โอรส ธิดาของท่าน แต่พรุ่งนี้เวลาเดียวกันนี้ เราจะส่งคนมาตรวจดูราชวังของท่าน และบ้านเรือนของข้าราชการ แล้วจะริบเอาของมีค่าทุกอย่างไปจากท่าน’ ”

กษัตริย์อิสราเอลจึงเรียกชุมนุมผู้อาวุโสทั้งหมดและตรัสกับพวกเขาว่า “ดูชายคนนี้สิ เขาพาลหาเรื่องเรา เมื่อเขามาเรียกร้องเอามเหสี โอรสธิดา เงินและทองของเรา เราก็ไม่ขัดขืน”

ผู้อาวุโสและประชากรทั้งปวงทูลว่า “ขออย่าทรงฟังหรือยอมตามข้อเรียกร้องของเขาเลย”

อาหับจึงตรัสแก่ทูตของเบนฮาดัดว่า “ช่วยไปทูลกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าเถิดว่า ‘ผู้รับใช้ยอมทุกอย่างตามที่ทรงเรียกร้องในครั้งแรก แต่ข้อเรียกร้องครั้งหลังนี้ไม่อาจทำตามได้’ ” ทูตจึงกลับไปรายงานเบนฮาดัด

10 แล้วเบนฮาดัดมีพระดำรัสมาถึงอาหับอีกว่า “ขอให้เทพเจ้าทั้งหลายจัดการกับเราอย่างหนัก หากในสะมาเรียยังเหลือฝุ่นพอให้คนของเราคนละกำมือ”

11 กษัตริย์อิสราเอลตอบกลับไปว่า “จงทูลพระองค์ว่า ‘ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะอย่าเพิ่งคุยโว’ ”[a]

12 พระดำรัสตอบนี้มาถึงขณะที่เบนฮาดัดและกษัตริย์ทั้งหลายกำลังดื่มกันอยู่ในพลับพลาที่ประทับ[b] เบนฮาดัดตรัสสั่งคนของตนว่า “เตรียมบุกโจมตี” พวกเขาก็เตรียมทัพเข้าโจมตีเมืองนั้น

อาหับรบชนะเบนฮาดัด

13 ขณะนั้นมีผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งมาเข้าเฝ้ากษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลและประกาศว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าเห็นกองทัพมหึมานี้ไหม? วันนี้เราจะมอบไว้ในมือของเจ้า แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์’ ”

14 อาหับตรัสถามว่า “แต่ใครจะเป็นผู้ทำการครั้งนี้”

ผู้เผยพระวจนะตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘บรรดาทหารหนุ่มจากเหล่าผู้บัญชาการภูมิภาคต่างๆ’ ”

อาหับตรัสถามว่า “ใครจะเป็นผู้เริ่มรบ?”

ผู้เผยพระวจนะทูลตอบว่า “ฝ่าพระบาทนั่นแหละ”

15 อาหับจึงทรงรวบรวมบรรดาทหารหนุ่มจากเหล่าผู้บัญชาการภูมิภาคต่างๆ ได้ 232 คน แล้วระดมกำลังพลอิสราเอลได้ทั้งสิ้น 7,000 คน 16 ประมาณเที่ยงวัน ขณะที่เบนฮาดัดและบรรดากษัตริย์พันธมิตรอีก 32 องค์กำลังมึนเมาอยู่ในที่ประทับ 17 บรรดาทหารหนุ่มจากเหล่าผู้บัญชาการภูมิภาคก็บุกขึ้นหน้าไปก่อน

พลรักษาการณ์ที่เบนฮาดัดวางไว้ทูลรายงานว่า “มีกองทหารรุกมาจากสะมาเรีย”

18 เบนฮาดัดตรัสสั่งว่า “ไม่ว่าพวกเขามาอย่างสันติหรือมาทำศึกก็ให้จับเป็น”

19 บรรดาทหารหนุ่มจากเหล่าผู้บัญชาการภูมิภาคเคลื่อนพลออกจากเมืองโดยมีกองทัพตามไป 20 แต่ละคนต่างสังหารข้าศึก คนอารัมพ่ายหนีและคนอิสราเอลก็รุกตาม ฝ่ายกษัตริย์เบนฮาดัดแห่งอารัมและพลม้าบางคนขี่ม้าหนีไปได้ 21 แต่กษัตริย์แห่งอิสราเอลก็รุกคืบหน้าเข้ายึดม้าศึกและรถม้าศึกไว้ และกองทหารอารัมต้องพ่ายแพ้ยับเยิน

22 หลังจากนั้นผู้เผยพระวจนะมาเข้าเฝ้ากษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลและทูลว่า “ขอทรงเสริมกำลังที่มั่นและตรวจตราดูว่าจะต้องทำอะไรอีกบ้างเพราะกษัตริย์แห่งอารัมจะกลับมาโจมตีอีกในฤดูใบไม้ผลิครั้งต่อไป”

23 ขณะเดียวกันบรรดาข้าราชการของกษัตริย์แห่งอารัมทูลแนะนำว่า “พระเจ้าของพวกเขาเป็นเทพเจ้าแห่งขุนเขา พวกเขาจึงแข็งแกร่งเกินกำลังของเรา แต่หากสู้รบกันบนที่ราบ เราย่อมจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาแน่นอน 24 ครั้งนี้ขอให้พวกแม่ทัพไปแทนกษัตริย์ทั้งหลาย 25 ฝ่าพระบาทต้องระดมทัพขึ้นมาใหม่เหมือนทัพที่สูญเสียไปนั้น พร้อมด้วยม้าศึกและรถม้าศึกจำนวนเท่าเดิม แล้วพวกข้าพระบาทจะสู้รบกับอิสราเอลในที่ราบได้ เราจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน” เบนฮาดัดทรงเห็นด้วยและทำตามที่พวกเขาทูล

26 ในฤดูใบไม้ผลิต่อมาเบนฮาดัดทรงเกณฑ์ทัพอารัมยกมาที่อาเฟคเพื่อรบกับอิสราเอล 27 ฝ่ายอิสราเอลก็ระดมพล และแจกเสบียง แล้วเข้าสู่สนามรบ กองทัพอิสราเอลตั้งค่ายประจันหน้าแลดูเหมือนฝูงแพะเล็กๆ สองฝูงเมื่อเทียบกับกองกำลังมืดฟ้ามัวดินของอารัม

28 คนของพระเจ้ามาเข้าเฝ้าและทูลกษัตริย์อิสราเอลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เนื่องจากคนอารัมคิดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเทพเจ้าแห่งขุนเขา ไม่ใช่เทพเจ้าแห่งที่ราบ เราจะมอบกองทัพมหึมานี้ไว้ในมือของเจ้า แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์’ ”

29 กองทัพทั้งสองตั้งค่ายประจันหน้ากันเป็นเวลาเจ็ดวัน แล้วในวันที่เจ็ดก็เปิดฉากรบ ในวันนั้นชาวอิสราเอลฆ่าทหารราบของซีเรียไป 100,000 คน 30 ที่เหลือหนีเข้าเมืองอาเฟค ซึ่งกำแพงเมืองทลายลงมาทับพวกเขา 27,000 คน เบนฮาดัดหลบหนีเข้าไปในเมืองและซ่อนตัวอยู่ในห้องชั้นในแห่งหนึ่ง

31 บรรดาข้าราชการของพระองค์ทูลว่า “พวกข้าพระบาทได้ยินมาว่าบรรดากษัตริย์อิสราเอลนั้นมีจิตใจเมตตา ขอให้พวกข้าพระบาทนุ่งผ้ากระสอบ เอาเชือกคาดศีรษะไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อิสราเอล เผื่อพระองค์จะทรงไว้ชีวิตฝ่าพระบาท”

32 แล้วพวกเขาก็นุ่งผ้ากระสอบ เอาเชือกคาดศีรษะ ไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อิสราเอล และทูลว่า “เบนฮาดัดผู้รับใช้ของฝ่าพระบาททูลวิงวอนว่า ‘ขอโปรดไว้ชีวิตข้าพเจ้าด้วยเถิด’ ”

กษัตริย์ตรัสว่า “เขายังมีชีวิตอยู่หรือ? เขาเป็นน้องของเรา”

33 คนเหล่านั้นรีบฉวยโอกาสทูลว่า “พระเจ้าข้า เบนฮาดัดพระอนุชาของพระองค์!”

กษัตริย์ตรัสว่า “ไปรับตัวเขามา” เมื่อเบนฮาดัดมาถึง อาหับก็เชิญให้ประทับร่วมกันในราชรถ

34 เบนฮาดัดทูลเสนอว่า “ข้าพเจ้าจะคืนหัวเมืองต่างๆ ที่เสด็จพ่อของข้าพเจ้ายึดมาจากเสด็จพ่อของท่าน และท่านจะตั้งแหล่งค้าขายในเมืองดามัสกัสเหมือนที่บิดาของข้าพเจ้าตั้งในเมืองสะมาเรียก็ได้”

อาหับตรัสว่า “เราจะปล่อยท่านไปตามเงื่อนไขของสนธิสัญญานี้” ทั้งสองจึงทำสนธิสัญญากัน แล้วอาหับก็ปล่อยเบนฮาดัดไป

อาหับถูกตัดสินโทษ

35 บุตรของผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งกล่าวกับเพื่อนตามพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ทำร้ายข้าพเจ้าเถิด” แต่คนนั้นปฏิเสธ

36 ผู้เผยพระวจนะจึงกล่าวว่า “เพราะท่านไม่ได้เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า สิงโตตัวหนึ่งจะฆ่าท่านทันทีที่ท่านจากข้าพเจ้าไป” เมื่อคนนั้นเดินจากไปก็มีสิงโตออกมาทำร้ายเขาถึงแก่ชีวิต

37 แล้วผู้เผยพระวจนะนั้นกล่าวกับอีกคนหนึ่งว่า “ทำร้ายข้าพเจ้าเถิด” เขาก็ทำตามและทำให้ผู้เผยพระวจนะนั้นบาดเจ็บ 38 ผู้เผยพระวจนะนั้นเอาแถบผ้าปิดตาเพื่อปลอมตัว แล้วไปยืนคอยเฝ้ากษัตริย์อยู่ริมทาง 39 ขณะที่กษัตริย์เสด็จผ่านมา ผู้เผยพระวจนะทูลว่า “ข้าพระบาทไปรบ มีคนเอาตัวเชลยมาฝากข้าพระบาทไว้บอกว่า ‘คอยดูคนนี้ให้ดี ถ้าเขาหนีไป เจ้าจะต้องตายหรือไม่ก็จ่ายเงินมา ประมาณ 34 กิโลกรัม[c] 40 ขณะที่ข้าพระบาทกำลังง่วนอยู่กับธุระอื่น เชลยคนนั้นก็หายตัวไปแล้ว”

กษัตริย์อิสราเอลตรัสว่า “ดีแล้วนี่ เป็นความผิดของเจ้าเอง เจ้าต้องชดใช้”

41 แล้วผู้เผยพระวจนะดึงแถบผ้าที่ปิดตาออก กษัตริย์อิสราเอลก็ทรงจำได้ว่าเป็นผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง 42 ผู้เผยพระวจนะจึงทูลกษัตริย์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เนื่องจากเจ้าไว้ชีวิตผู้ที่เรากำหนดให้ตาย[d] ฉะนั้นเจ้าจะต้องตายแทนเขา และประชาชนของเจ้าจะต้องพินาศแทนประชาชนของเขา’ ” 43 กษัตริย์อิสราเอลจึงเสด็จกลับสู่ที่ประทับในสะมาเรียด้วยความกริ้วและขุ่นเคืองพระทัย

Footnotes

  1. 20:11 หรือคนที่เพิ่งสวมชุดเกราะ อย่าคุยโวเหมือนคนที่ถอดชุดแล้ว
  2. 20:12 หรือในสุคคทเช่นเดียวกับข้อ 16
  3. 20:39 ภาษาฮีบรูว่า1 ตะลันต์
  4. 20:42 คำนี้ในภาษาฮีบรูหมายถึง สิ่งของหรือบุคคลที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วไม่อาจเรียกคืนได้ มักจะต้องทำลายให้หมดสิ้นไป

อาหับทำสงครามกับอารัม

20 เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัมรวบรวมกองทัพทหารทั้งหมด มีกษัตริย์ 32 ท่านที่เป็นฝ่ายพันธมิตรร่วมไปกับท่านด้วย มีทั้งม้าและรถศึก ท่านยกทัพขึ้นไป และใช้กำลังล้อมสะมาเรีย และโจมตีเมือง และท่านใช้พวกผู้ส่งข่าวเข้าไปในเมือง ถึงอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล มีใจความว่า “เบนฮาดัดกล่าวดังนี้ว่า ‘เงินและทองคำของท่านเป็นของเรา ภรรยาและลูกๆ คนที่ดีที่สุดก็เป็นของเราด้วย’” กษัตริย์แห่งอิสราเอลตอบว่า “โอ เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ เป็นไปตามที่ท่านว่า คือทั้งข้าพเจ้าและทุกสิ่งที่ข้าพเจ้ามีเป็นของท่าน” ผู้ส่งข่าวมาแจ้งอีกว่า “เบนฮาดัดกล่าวดังนี้ว่า ‘เราส่งคนมาเพื่อแจ้งท่านดังนี้ “จงส่งเงินและทองคำ ภรรยาและลูกๆ ของท่านมาให้เรา” ขอให้ท่านแน่ใจได้ว่า วันพรุ่งนี้ เราจะส่งพวกผู้รับใช้ของเรามาหาท่านประมาณเวลานี้ พวกเขาจะมาค้นวังท่าน และบ้านของพวกผู้รับใช้ของท่าน เพื่อยึดทุกสิ่งที่มีค่าของท่าน’”

ดังนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของแผ่นดิน กล่าวว่า “ขอให้ท่านทราบและรับรู้ด้วยว่า ชายผู้นี้กำลังก่อความลำบาก เพราะเขาให้คนมารับภรรยาและลูกๆ ของเรา เงินและทองคำของเรา และเราไม่ได้ปฏิเสธเขา” หัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงพูดกับท่านว่า “อย่าฟัง หรือยอมเขาอย่างเด็ดขาด” ท่านจึงบอกพวกผู้ส่งข่าวของเบนฮาดัดว่า “จงไปบอกเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ดังนี้ ‘ทุกสิ่งที่ท่านต้องการในตอนแรกจากผู้รับใช้ของท่านนั้น ข้าพเจ้าจะกระทำ แต่คำสั่งครั้งที่สองนั้นข้าพเจ้าทำให้ไม่ได้’” พวกผู้ส่งข่าวก็จากไป และกลับมารายงานอีก 10 เบนฮาดัดใช้ไปบอกท่านว่า “ถ้าทหารทุกคนที่ติดตามเรามาได้เข้าไปทำลายเมืองของท่านจนสิ้นซาก และยังมีผงคลีติดกำมือไปได้ ก็ขอให้บรรดาเทพเจ้ากระทำต่อเราเช่นเดียวกันหรือยิ่งกว่านั้น” 11 กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงตอบว่า “ไปบอกท่านว่า ‘ทหารจะไม่โอ้อวดก่อนผจญศึก แต่จะคุยได้ก็หลังจากเสร็จสงครามแล้ว’” 12 เมื่อเบนฮาดัดได้ยินคำโต้ตอบกลับ ขณะที่กำลังดื่มกับบรรดากษัตริย์ฝ่ายพันธมิตรในกระโจม ท่านบอกคนของท่านว่า “จงเข้าประจำที่” และพวกเขาก็เข้าประจำที่เพื่อโจมตีเมือง

อาหับชนะเบนฮาดัด

13 ดูเถิด ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้หนึ่งเข้ามาใกล้อาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล และพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘เจ้าเห็นกองทัพใหญ่นั้นแล้วหรือยัง ดูเถิด เราจะมอบพวกเขาไว้ในมือของเจ้าในวันนี้ และเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า’” 14 อาหับถามว่า “ใครจะนำไป” เขาตอบว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า กองทหารหนุ่มใต้บังคับการของบรรดาผู้บัญชาประจำเขตจะนำไป” กษัตริย์ถามว่า “ใครจะเริ่มรบ” เขาตอบว่า “ท่านจะเป็นคนเริ่ม” 15 ท่านจึงเรียกทหารหนุ่มที่อยู่ใต้บังคับของผู้บัญชาประจำเขต เข้าประจำกองทหารจำนวน 232 คน และท่านเรียกกองทัพอิสราเอลทั้งสิ้น รวมได้ 7,000 คน

16 กองทหารเริ่มบุกโจมตีตอนเที่ยงวัน ขณะที่เบนฮาดัดกำลังดื่มจนเมามายอยู่ในกระโจมกับกษัตริย์อีก 32 ท่านที่มาช่วยกันต่อสู้ 17 ทหารหนุ่มใต้บังคับการของบรรดาผู้บัญชาประจำเขตเป็นแนวหน้า ส่วนเบนฮาดัดก็ส่งคนไปสืบความคืบหน้า และมีรายงานกลับมาว่า “มีคนออกมาจากสะมาเรีย” 18 ท่านพูดว่า “ถ้าพวกเขาออกมาอย่างสันติ ให้จับเป็น หรือถ้าพวกเขามาทำสงคราม ก็ให้จับเป็นเช่นกัน”

19 พวกทหารหนุ่มใต้บังคับการของบรรดาผู้บัญชาประจำเขตนำหน้าออกไปจากเมือง กองทัพอิสราเอลที่เหลือก็ตามหลังไป 20 ต่างก็ฆ่าฟันคู่ต่อสู้ของตน ชาวอารัมพากันหนีไป และอิสราเอลไล่ล่าพวกเขาไป แต่เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัมขี่ม้าหนีรอดไปพร้อมกับทหารม้าได้ 21 กษัตริย์แห่งอิสราเอลโจมตีทั้งม้าและรถศึก และฆ่าชาวอารัมโดยไม่ยั้งมือ

22 แล้วผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าก็เข้ามาใกล้กษัตริย์แห่งอิสราเอล และกล่าวว่า “มาเถิด รวบรวมกำลังของท่านไว้ และพิจารณาให้ดีว่า ท่านต้องทำอะไรบ้าง เพราะว่าเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ กษัตริย์แห่งอารัมจะมาโจมตีท่านอีก”

23 บรรดาเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์อารัมพูดกับท่านว่า “บรรดาเทพเจ้าของพวกเขาเป็นเทพเจ้าแห่งภูเขา พวกเขาจึงแข็งแกร่งกว่าพวกเรา ให้เราไปต่อสู้กับเขาในที่ราบเถิด เราจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาเป็นแน่ 24 ขอให้ทำตามนี้คือ เปลี่ยนตำแหน่งบังคับการจากบรรดากษัตริย์พันธมิตร ให้ผู้บัญชาการทหารทำแทน 25 เกณฑ์กองทัพใหม่ให้เหมือนกับกองทัพที่เสียไป ม้าและรถศึกก็หามาทดแทนด้วย แล้วพวกเราจะต่อสู้กับพวกเขาในที่ราบ เราจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาเป็นแน่” ท่านก็ฟังเสียงพวกเขา และทำตาม

เบนฮาดัดถูกจับตัว

26 ในฤดูใบไม้ผลิ เบนฮาดัดเกณฑ์ชาวอารัม และขึ้นไปถึงเมืองอาเฟกเพื่อต่อสู้กับอิสราเอล 27 ชาวอิสราเอลถูกเรียกประจำการและเตรียมพร้อมเพื่อออกศึก ชาวอิสราเอลตั้งค่ายตรงหน้าชาวอารัมเหมือนกับฝูงแพะ 2 ฝูงเล็กๆ ส่วนชาวอารัมแผ่กระจายไปทั่วท้องทุ่ง 28 คนของพระเจ้าเข้ามาใกล้ และบอกกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “พระเจ้ากล่าวดังนี้ ‘เพราะชาวอารัมได้พูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งภูเขา แต่ไม่ใช่พระเจ้าแห่งหุบเขา” ฉะนั้น เราจะมอบกองทัพใหญ่ขนาดนี้ไว้ในมือเจ้า และเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า’” 29 กองทัพทั้งสองฝ่ายตั้งค่ายอยู่ตรงข้ามกันเป็นเวลา 7 วัน และในวันที่เจ็ด การต่อสู้ก็เริ่ม ชาวอิสราเอลฆ่าฟันทหารราบชาวอารัม 100,000 คนในวันเดียว 30 และที่เหลือก็หนีเข้าเมืองอาเฟก และกำแพงเมืองได้ล้มทับ 27,000 คนที่หนีมาจากการต่อสู้

เบนฮาดัดรับการปลดปล่อย

ฝ่ายเบนฮาดัดก็หนีไปเช่นกัน และเข้าไปในเมือง หลบอยู่ในห้องชั้นในแห่งหนึ่ง 31 พวกเจ้าหน้าที่พูดกับท่านว่า “ดูเถิด พวกเราทราบมาว่า บรรดากษัตริย์ของพงศ์พันธุ์อิสราเอลเป็นกษัตริย์ที่มีเมตตาคุณ เรามาคาดเอวด้วยผ้ากระสอบ และเอาเชือกพันศีรษะของเราเถิด และออกไปหากษัตริย์แห่งอิสราเอล ท่านอาจจะไว้ชีวิตท่าน” 32 ดังนั้นเขาเหล่านั้นจึงคาดเอวด้วยผ้ากระสอบ และเอาเชือกพันศีรษะ และไปหากษัตริย์แห่งอิสราเอล และพูดว่า “เบนฮาดัด ผู้รับใช้ของท่านกล่าวว่า ‘โปรดไว้ชีวิตเราเถิด’” ท่านถามว่า “เขายังมีชีวิตหรือ เขาเป็นเสมือนพี่น้องของเรา” 33 พวกเขากำลังดูทีท่าอยู่ จึงเดาความได้ และตอบว่า “ใช่ เบนฮาดัดพี่น้องของท่าน” ท่านกล่าวต่อไปว่า “ไป ไปพาตัวเขามา” เบนฮาดัดจึงออกมาหาท่าน และท่านก็ให้เบนฮาดัดขึ้นมาบนรถศึก 34 และเบนฮาดัดพูดกับท่านว่า “เมืองต่างๆ ที่บิดาของข้าพเจ้ายึดไปจากบิดาของท่าน ข้าพเจ้าจะคืนให้แก่ท่าน ท่านจะได้ตั้งศูนย์ค้าขายเป็นของท่านในเมืองดามัสกัส อย่างที่บิดาของข้าพเจ้าทำในสะมาเรีย” อาหับตอบว่า “เราจะปล่อยท่านไปตามข้อตกลงดังกล่าว” ดังนั้นท่านจึงทำสนธิสัญญากับเบนฮาดัด และปล่อยท่านไป

35 ชายผู้หนึ่งในกลุ่มผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดกับเพื่อนร่วมกลุ่มตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าว่า “โปรดชกเราที” แต่เพื่อนไม่ยอมชกเขา 36 ชายคนแรกพูดว่า “เป็นเพราะท่านไม่ทำตามคำของพระผู้เป็นเจ้า ดูเถิด ทันทีที่ท่านจากเราไป สิงโตตัวหนึ่งจะฆ่าท่าน” และทันทีที่ชายคนที่สองจากไป สิงโตตัวหนึ่งมาพบเขาและฆ่าเขาเสีย 37 ชายคนแรกพูดกับชายอีกคนหนึ่งที่เขาพบว่า “โปรดชกเราที” เขาก็ชกจนทำให้เขาบาดเจ็บ 38 แล้วผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าก็จากไป เขาเอาผ้าปิดตาปลอมตัวยืนรอกษัตริย์ซึ่งจะผ่านมาทางนั้น 39 และขณะที่กษัตริย์ผ่านมา เขาร้องบอกกษัตริย์ว่า “ผู้รับใช้ของท่านไปต่อสู้ในสนามรบ ดูเถิด ทหารคนหนึ่งนำชายผู้หนึ่งมา และพูดว่า ‘คุมตัวคนนี้ไว้ แต่ถ้าเขาหายไปด้วยเหตุใดก็ตาม ท่านจะต้องทดแทนชีวิตเขาด้วยชีวิตของท่านเอง มิฉะนั้น ท่านจะต้องจ่ายเป็นเงินจำนวน 1 ตะลันต์’ 40 และในขณะที่ผู้รับใช้ของท่านง่วนอยู่กับหลายสิ่ง เขาก็หายไป” กษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวกับเขาว่า “คำตัดสินก็จะเป็นไปตามที่ท่านพูด ตัวท่านเองที่เป็นคนตัดสินใจ” 41 ครั้นแล้ว เขาก็รีบดึงผ้าปิดตาออก กษัตริย์จึงจำได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในจำนวนผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 42 เขากล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้คือ ‘เป็นเพราะเจ้าปล่อยให้ชายคนที่เรากำหนดให้พินาศหลุดมือไป เจ้าจะต้องทดแทนชีวิตเขาด้วยชีวิตของเจ้าเอง และทดแทนกองทัพของเขาด้วยประชาชนของเจ้า’” 43 แล้วกษัตริย์ก็กลับวังของท่านที่สะมาเรีย รู้สึกไม่สบายใจและโกรธยิ่งนัก