Add parallel Print Page Options

ดาวิดและโยนาธานทำสัญญากัน

20 จากนั้นดาวิดได้หนีจากนาโยทที่รามาห์ไปหาโยนาธาน และถามว่า “ข้าทำอะไรลงไปหรือ ความผิดของข้าคืออะไร ข้าได้ทำผิดอะไรต่อพ่อเจ้าหรือ เขาถึงได้พยายามมาเอาชีวิตของข้า”

โยนาธานตอบว่า “เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะไม่ตายหรอก ดูสิ พ่อของข้าไม่เคยทำอะไรโดยไม่บอกข้าก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ แล้วเขาจะมาปิดบังเรื่องนี้จากข้าทำไม คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอก”

แต่ดาวิดสาบานว่า “พ่อของเจ้ารู้ดีว่า เจ้าชื่นชอบข้า และคิดกับตัวเองว่า ‘ต้องไม่ให้โยนาธานรู้เรื่องนี้ เพราะเขาจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน’ แต่พระยาห์เวห์และตัวเจ้ามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า ข้าห่างจากความตายแค่ก้าวเดียวเท่านั้น”

โยนาธานพูดกับดาวิดว่า “เจ้าจะให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะทำเพื่อเจ้า”

ดาวิดจึงพูดว่า “เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้จะเป็นวันเทศกาลพระจันทร์ใหม่ และข้าจะต้องไปร่วมกินอาหารกับกษัตริย์ แต่ปล่อยให้ข้าไปซ่อนตัวในท้องทุ่งเถอะ จนถึงเย็นวันที่สาม ถ้าพ่อของเจ้าเห็นข้าหายไป ก็บอกเขาว่า ‘ดาวิดได้มาขออนุญาตกับลูกเพื่อลากลับบ้านอย่างเร่งด่วนที่เบธเลเฮม เพราะครอบครัวของเขาจะถวายสัตว์บูชาประจำปี’ ถ้าเขาพูดว่า ‘ดีมาก’ ผู้รับใช้ของเจ้าคนนี้ก็ปลอดภัย แต่ถ้าเขาโกรธมาก เจ้าก็แน่ใจได้เลยว่า เขาได้ตัดสินใจที่จะทำร้ายข้าแล้ว ถ้าเจ้าจะแสดงความเมตตาต่อผู้รับใช้ของเจ้า เพราะเจ้าได้ทำสัญญากับข้าต่อหน้าพระยาห์เวห์แล้ว ถ้าข้าผิดจริง เจ้าก็ฆ่าข้าเสียเอง ไม่ต้องมอบข้าไปให้กับพ่อของเจ้าหรอก”

โยนาธานพูดว่า “ไม่หรอก ถ้าข้ารู้ว่าพ่อของข้าคิดจะทำร้ายเจ้า ข้าจะไม่บอกเจ้าได้หรือ”

10 ดาวิดถามว่า “ใครจะมาบอกข้าละ ถ้าพ่อของเจ้าตอบเจ้าอย่างดุดัน”

11 โยนาธานพูดว่า “มาเถอะ ออกไปที่ท้องทุ่งกัน” เขาทั้งสองก็เดินไปที่นั่นด้วยกัน

12 จากนั้นโยนาธานก็พูดกับดาวิดว่า “ข้าขอสาบานต่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ข้าจะไปดูให้รู้แน่ว่าพ่อของข้าคิดยังไงกับเจ้า วันมะรืนนี้เวลาเดียวกันนี้ ถ้าเขารู้สึกดีกับเจ้า ข้าก็จะส่งข่าวมาให้เจ้ารู้ 13 แต่ถ้าพ่อข้าจะทำร้ายเจ้า ข้าก็จะบอกให้เจ้ารู้ และส่งเจ้าไปอย่างปลอดภัย ถ้าข้าไม่ทำตามที่พูดนี้ ก็ขอให้พระยาห์เวห์ลงโทษข้าอย่างรุนแรง ขอให้พระยาห์เวห์สถิตอยู่กับเจ้าเหมือนที่สถิตอยู่กับพ่อของข้า 14 ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ก็ขอให้เจ้ามีน้ำใจกับข้า เหมือนกับที่พระยาห์เวห์มีต่อข้าตลอดชีวิต เพื่อที่ว่าข้าจะได้ไม่ถูกฆ่าตาย 15 และถ้าหากข้าตายไป ก็ขอให้เจ้าอย่าได้แล้งน้ำใจต่อครอบครัวของข้า แม้เมื่อพระยาห์เวห์ได้กำจัดศัตรูทั้งหมดของเจ้าออกไปจากโลกนี้” 16 ดังนั้น โยนาธานได้ทำสัญญากับดาวิดและครอบครัวของดาวิด โยนาธานพูดว่า “ขอให้พระยาห์เวห์จัดการกับศัตรูของเจ้า”

17 และโยนาธานให้ดาวิดยืนยันสัญญาอีกครั้งด้วยความรักที่เขามีต่อดาวิด เพราะเขารักดาวิดเหมือนรักตัวเอง

18 จากนั้นโยนาธานก็พูดกับดาวิดว่า “พรุ่งนี้จะเป็นวันเทศกาลพระจันทร์ใหม่ พ่อจะเห็นว่าเจ้าหายไป เพราะที่นั่งของเจ้าจะว่าง 19 ในตอนเย็นวันมะรืนนี้ ให้ไปซ่อนตัวในที่ที่เจ้าเคยซ่อนตัวตอนที่เรื่องยุ่งยากนี้เกิดขึ้นครั้งแรก และคอยอยู่ที่ก้อนหินเอเซล 20 ข้าจะยิงธนูสามดอกไปข้างๆเจ้าเหมือนกับว่าข้ากำลังซ้อมยิงเป้า 21 จากนั้นข้าจะสั่งเด็กรับใช้ว่า ‘ไปหาลูกธนูซิ’ ถ้าข้าพูดกับเขาว่า ‘ลองดูซิ ลูกธนูตกอยู่ทางข้างๆเจ้า ไปเอามันกลับมานี่’ ถ้าข้าพูดอย่างนี้ ก็ให้เจ้าออกมาจากที่ซ่อนได้ เพราะพระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เจ้าจะปลอดภัยและไม่มีอันตรายอะไร 22 แต่ถ้าข้าพูดกับเด็กรับใช้ว่า ‘ดูสิ ลูกธนูตกไกลออกไปข้างหน้าโน้น’ ถ้าข้าพูดอย่างนี้ เจ้าต้องรีบหนีไป เพราะพระยาห์เวห์ได้กำหนดให้เจ้าไปแล้ว 23 และเรื่องที่ได้คุยกันระหว่างเราสองคน จำไว้ว่าพระยาห์เวห์จะเป็นพยานให้กับเราทั้งสองคนตลอดไป”

24 ดังนั้นดาวิดจึงซ่อนตัวอยู่ในท้องทุ่ง

เมื่อถึงเทศกาลพระจันทร์ใหม่ ซาอูลซึ่งเป็นกษัตริย์ก็มานั่งกินอาหาร 25 เขานั่งในที่เคยนั่งเป็นประจำที่อยู่ใกล้กำแพง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโยนาธาน ส่วนอับเนอร์ก็นั่งอยู่ข้างๆซาอูล แต่ที่นั่งของดาวิดกลับว่างเปล่า 26 ในวันนั้นซาอูลไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงคิดว่า “ต้องเกิดอะไรขึ้นกับดาวิดที่จะทำให้เขาไม่บริสุทธิ์ในการเข้าร่วมพิธี แน่นอนว่าเขาต้องไม่บริสุทธิ์”

27 แต่วันต่อมา วันที่สองของเดือนนั้น ที่นั่งของดาวิดก็ยังคงว่างอยู่อีก ซาอูลจึงถามโยนาธานว่า “ทำไมดาวิดลูกชายเจสซีไม่มากินข้าวด้วยกัน ทั้งเมื่อวานและวันนี้ด้วย”

28 โยนาธานตอบว่า “ดาวิดได้มาวิงวอนขออนุญาตจากลูกเพื่อลากลับบ้านที่เบธเลเฮม 29 เขาบอกว่า ‘อนุญาตให้ฉันกลับบ้านเถอะ เพราะครอบครัวของฉันจะมีการถวายเครื่องบูชาในเมืองและพี่ชายของฉันก็สั่งให้ฉันกลับไป ถ้าท่านพอใจฉันก็อนุญาตให้ฉันกลับไปหาพี่ชายด้วยเถอะ’ เพราะสาเหตุนี้เขาจึงไม่ได้มาร่วมโต๊ะอาหารกับกษัตริย์”

30 ซาอูลได้ยินอย่างนั้น ความโกรธก็พลุ่งขึ้นต่อโยนาธาน เขาพูดกับโยนาธานว่า “เจ้ามันลูกกบฏของหญิงนอกคอก คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเข้าข้างไอ้ลูกชายเจสซีนั่น เจ้าสร้างความอับอายให้ตัวเองและแม่ที่คลอดเจ้าออกมา 31 ตราบใดที่ดาวิดยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เจ้าและอาณาจักรของเจ้าก็จะไม่มีวันตั้งอยู่ได้ ส่งคนไปนำตัวดาวิดมาเดี๋ยวนี้ มันต้องตาย”

32 โยนาธานถามซาอูลพ่อของเขาว่า “ทำไมเขาจะต้องถูกประหาร เขาทำอะไรลงไปหรือ”

33 แต่ซาอูลได้พุ่งหอกในมือใส่โยนาธานเพื่อฆ่าเขาเสีย โยนาธานจึงรู้ว่าพ่อของเขาตั้งใจจะฆ่าดาวิด 34 โยนาธานจึงลุกจากโต๊ะอาหารไปด้วยความโกรธมาก และไม่ได้กินอะไรในวันที่สองนี้ เพราะเขาเสียใจต่อการกระทำที่น่าอับอายของพ่อเขาต่อดาวิด

35 เช้าวันรุ่งขึ้นโยนาธานออกไปที่ทุ่งนาเพื่อพบกับดาวิด เขาเอาเด็กรับใช้ไปด้วยหนึ่งคน 36 แล้วเขาก็สั่งเด็กรับใช้ว่า “ไปหาลูกธนูที่เรายิงไป” เมื่อเด็กรับใช้วิ่งไป โยนาธานก็ยิงธนูลูกหนึ่งนำหน้าเขาไป 37 เมื่อเด็กรับใช้วิ่งไปถึงที่ที่ลูกธนูของโยนาธานตก เขาก็ตะโกนบอกเด็กรับใช้ว่า “ลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้าไม่ใช่หรือ” 38 เขายังตะโกนสั่งอีกด้วยว่า “รีบไปเถิด อย่าหยุดน่ะ” เด็กรับใช้ก็ไปเก็บลูกธนูกลับมาให้โยนาธานผู้เป็นเจ้านาย 39 (แต่เด็กรับใช้ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย มีแต่ดาวิดและโยนาธานเท่านั้นที่เข้าใจ) 40 จากนั้นโยนาธานก็ส่งอาวุธให้เด็กรับใช้และสั่งว่า “เจ้าเอาไปเก็บไว้ในเมืองก่อน”

41 หลังจากเด็กรับใช้ไปแล้ว ดาวิดก็ออกจากที่ซ่อน ทางใต้ของก้อนหิน เขากราบโยนาธานจนหน้าติดพื้นดินสามครั้ง จากนั้นพวกเขาก็จูบซึ่งกันและกัน แล้วทั้งสองก็ร้องไห้ด้วยกัน แต่ดาวิดร้องมากกว่า

42 โยนาธานพูดกับดาวิดว่า “ขอให้ไปเป็นสุขเถิด เพราะเราทั้งสองได้สาบานในนามของพระยาห์เวห์ว่าจะเป็นเพื่อนกัน เราพูดว่า ‘พระยาห์เวห์จะเป็นพยานระหว่างเราสองคน และระหว่างลูกหลานของเราสองคนตลอดไป’” แล้วดาวิดก็จากไป และโยนาธานก็กลับเข้าเมือง

โยนาธานเตือนดาวิด

20 ดาวิดก็หนีจากนาโยทในรามาห์ ไปหาโยนาธานและพูดว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรหรือ ข้าพเจ้าทำผิดอะไร และข้าพเจ้าทำอะไรที่เป็นบาปในสายตาของบิดาของท่าน ท่านจึงจะเอาชีวิตของข้าพเจ้า” โยนาธานตอบว่า “ไม่มีวัน ท่านจะไม่ตาย ดูเถิด บิดาของเราไม่กระทำสิ่งใดโดยไม่เปิดเผยให้เรารู้ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ บิดาจะปกปิดเรื่องนี้กับเราไปทำไม ไม่เป็นเช่นนั้นแน่” แต่ดาวิดสาบาน และพูดอีกว่า “บิดาของท่านทราบดีว่า ข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานของท่าน ซ้ำยังคิดด้วยว่า ‘อย่าให้โยนาธานทราบเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าเขาจะเศร้าใจ’ แต่เป็นความจริง ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด และตราบที่ท่านมีชีวิตอยู่ ความตายอยู่ใกล้ตัวข้าพเจ้าเพียงก้าวเดียว” โยนาธานจึงบอกดาวิดว่า “อะไรที่ท่านต้องการ เราจะทำให้” ดาวิดพูดกับโยนาธานว่า “ดูเถิด พรุ่งนี้เป็นวันเทศกาลข้างขึ้น และข้าพเจ้าควรจะต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับกษัตริย์ แต่ปล่อยให้ข้าพเจ้าไปเถิด จะได้ซ่อนตัวอยู่ในทุ่งนาจนกระทั่ง 3 วันนับจากนี้ในตอนเย็น ถ้าหากว่าบิดาของท่านสังเกตเห็นว่าข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ด้วย ก็ช่วยบอกว่า ‘ดาวิดขออนุญาตลาข้าพเจ้า เพื่อรีบไปเบธเลเฮมเมืองของเขา เพราะว่าทั้งตระกูลมีงานถวายเครื่องสักการะประจำปีที่นั่น’ ถ้าท่านตอบว่า ‘ดีแล้ว’ ผู้รับใช้ของท่านก็จะปลอดภัย แต่ถ้าท่านโกรธกริ้ว ก็ขอทราบไว้เถิดว่าท่านประสงค์จะทำร้าย ฉะนั้นขอให้ท่านมีความกรุณาต่อผู้รับใช้ของท่าน เพราะท่านให้ผู้รับใช้ของท่านร่วมสาบานตนกับท่าน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า[a] แต่ถ้าหากว่าข้าพเจ้ามีความผิด ท่านก็ประหารข้าพเจ้าด้วยตัวท่านเอง ทำไมจึงจะนำตัวข้าพเจ้าไปมอบให้แก่บิดาของท่าน” โยนาธานพูดว่า “ไม่มีวันจะเป็นอย่างนั้น ถ้าหากเราทราบว่า บิดาประสงค์จะทำร้ายท่าน แล้วเราจะไม่บอกท่านหรือ” 10 ดาวิดจึงพูดกับโยนาธานว่า “ถ้าบิดาของท่านตอบอย่างแข็งกร้าว แล้วใครจะบอกข้าพเจ้า” 11 โยนาธานตอบดาวิดว่า “มาเถิด ออกไปที่ทุ่งนากัน” ทั้งสองจึงออกไปที่ทุ่งนา

12 โยนาธานพูดกับดาวิดว่า “ให้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลเป็นพยาน ในวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ประมาณเวลานี้ เราจะหยั่งดูให้รู้แน่ว่าบิดาของเราประสงค์ดีต่อดาวิด แล้วเราจะส่งคนไปบอกให้ท่านรู้อย่างแน่นอน 13 แต่ถ้าบิดาของเราประสงค์จะทำร้ายท่าน ก็ให้พระผู้เป็นเจ้ากระทำต่อโยนาธานเช่นนั้น หรือมากกว่านั้นถ้าหากว่าเราไม่บอกให้ท่านรู้ เพื่อให้ท่านหนีไปและได้รับความปลอดภัย ขอให้พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน เหมือนกับที่พระองค์สถิตกับบิดาของเรา 14 ถ้าหากว่าเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ขอท่านแสดงความรักอันมั่นคงของพระผู้เป็นเจ้าต่อเรา เราจะได้ไม่ตาย 15 ถึงแม้พระผู้เป็นเจ้าตัดขาดทุกคนในหมู่ศัตรูของท่านให้พ้นไปเสียจากโลก ก็ขอท่านอย่าตัดขาดความรักอันมั่นคงของท่านจากพงศ์พันธุ์ของเราไปตลอดกาลเลย”[b] 16 โยนาธานสาบานกับพงศ์พันธุ์ของดาวิดว่า “ขอให้พระผู้เป็นเจ้าลงโทษศัตรูของดาวิด” 17 และโยนาธานให้ดาวิดสาบานด้วยความรักที่มีต่อท่านอีก เพราะว่าท่านรักดาวิดประหนึ่งชีวิตของตน

18 แล้วโยนาธานพูดกับดาวิดว่า “พรุ่งนี้เป็นวันเทศกาลข้างขึ้น และจะเป็นที่สังเกตได้ว่าท่านไม่อยู่ เพราะที่นั่งของท่านจะว่าง 19 วันมะรืนเวลาใกล้เย็น จงไปยังที่ที่ท่านเคยซ่อนตัวเมื่อตอนเริ่มเกิดเรื่อง และรออยู่ที่ข้างๆ กองหิน 20 เราจะยิงลูกธนู 3 ลูกไปที่ข้างกองหิน ทำทีว่าเรายิงไปที่เป้า 21 ดูเถิด เราจะสั่งให้เด็กหนุ่มไปโดยพูดว่า ‘จงไปหาลูกธนู’ ถ้าเราพูดกับเขาว่า ‘ดูนั่น ลูกธนูอยู่ที่ข้างนี้ของเจ้า เอามันมาที่นี่’ และท่านก็ออกมาได้ เพราะตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด ท่านก็ปลอดภัยแน่ ไม่มีอันตรายใดๆ 22 แต่ถ้าเราพูดกับเด็กหนุ่มว่า ‘ดูนั่น ลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้า’ ท่านก็จงไปเสีย เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าให้ท่านจากไป 23 และเรื่องที่ท่านกับเราคุยกันนั้น จำไว้ว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นพยานระหว่างท่านกับเราตลอดไป”

24 ดังนั้นดาวิดจึงซ่อนตัวอยู่ในทุ่งนา เมื่อถึงวันเทศกาลข้างขึ้น กษัตริย์นั่งลงรับประทานอาหาร 25 กษัตริย์นั่งบนที่นั่งของท่านที่ข้างผนังเหมือนเคย โยนาธานนั่งตรงที่ฝั่งตรงข้าม[c] และอับเนอร์นั่งที่ข้างๆ ซาอูล แต่ที่นั่งของดาวิดนั้นว่างอยู่

26 แต่ซาอูลยังไม่ได้กล่าวสิ่งใดในวันนั้น เพราะท่านนึกในใจว่า “ได้เกิดอะไรขึ้นกับดาวิด เขามีมลทิน เขาต้องมีมลทินแน่”[d] 27 แต่ในวันที่สอง คือรุ่งขึ้นจากวันเทศกาลข้างขึ้น ที่ของดาวิดก็ว่างอีก ซาอูลพูดกับโยนาธานบุตรของท่านว่า “ทำไมลูกชายของเจสซียังไม่มารับประทานอาหารเลย ทั้งเมื่อวานและวันนี้” 28 โยนาธานตอบซาอูลว่า “ดาวิดขออนุญาตลาข้าพเจ้า เพื่อไปยังเบธเลเฮม 29 เขาพูดว่า ‘ให้ข้าพเจ้าไปเถิด เพราะตระกูลของเราถวายเครื่องสักการะที่ในเมือง และพี่ข้าพเจ้าสั่งข้าพเจ้าให้ไปที่นั่น หากว่าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน ก็ให้ข้าพเจ้าไปหาพวกพี่ๆ เถิด’ ด้วยเหตุผลดังกล่าว เขาจึงไม่ได้มานั่งร่วมโต๊ะกับกษัตริย์”

30 ครั้นแล้วซาอูลก็โกรธกริ้วโยนาธาน ท่านจึงกล่าวว่า “เจ้าเป็นลูกไม่รักดีเหมือนกับแม่ของเจ้า เจ้าคิดว่าเราไม่รู้หรือยังไง ว่าเจ้าได้เข้าข้างลูกของเจสซีเพื่อนำความอับอายมาให้ตัวเจ้าเอง และให้แม่ของเจ้าด้วย 31 ตราบที่ลูกของเจสซีมีชีวิตอยู่บนโลกฉันใด ทั้งตัวเจ้าและอาณาจักรของเจ้าจะไม่มีวันตั้งอยู่ได้ ฉะนั้นจงให้คนไปตามตัวเขามาหาเรา เพราะเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน” 32 โยนาธานตอบซาอูลบิดาของท่านว่า “ทำไมเขาจึงต้องถูกฆ่าตาย เขาทำอะไร” 33 แต่แล้วซาอูลก็พุ่งหอกไปที่โยนาธานเพื่อจะฆ่าท่าน ดังนั้นโยนาธานจึงทราบว่าบิดาของท่านได้ตั้งใจจะฆ่าดาวิด 34 โยนาธานโกรธมากและลุกขึ้นจากโต๊ะ ท่านไม่รับประทานอาหารในวันที่สองของเดือนนั้น เพราะท่านทุกข์ใจเรื่องดาวิดที่บิดากระทำต่อดาวิดอย่างน่าอับอาย

35 ในเวลาเช้า โยนาธานออกไปในทุ่งนาตามนัดที่ให้กับดาวิด และมีเด็กไปด้วยหนึ่งคน 36 ท่านบอกเด็กของท่านว่า “จงวิ่งไปค้นหาลูกธนูที่เรายิง” ขณะที่เด็กกำลังวิ่งไป ท่านยิงธนูลูกหนึ่งเลยเด็กไปอีก 37 เมื่อเด็กมาถึงจุดที่ลูกธนูที่โยนาธานยิง โยนาธานตะโกนถามเด็กว่า “ลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้าไม่ใช่หรือ” 38 และโยนาธานตะโกนบอกเด็กว่า “รีบไปโดยเร็ว อย่าอยู่ที่นี่” เด็กของโยนาธานจึงเก็บลูกธนูแล้วกลับมาหาเจ้านายของตน 39 แต่เด็กไม่ทราบอะไรทั้งสิ้น โยนาธานและดาวิดเท่านั้นที่ทราบเรื่อง 40 และโยนาธานให้เด็กแบกอาวุธของท่านและบอกว่า “ไปได้แล้ว แบกอาวุธเข้าไปในเมือง” 41 ทันทีที่เด็กกลับไปแล้ว ดาวิดก็ลุกขึ้นจากข้างกองหิน ก้มหน้าลง และคำนับ 3 ครั้ง แล้วทั้งสองก็จูบแก้มและร้องไห้กัน ดาวิดร้องไห้มากยิ่งกว่า 42 ครั้นแล้วโยนาธานก็พูดกับดาวิดว่า “จงไปอย่างสันติสุขเถิด เพราะเราต่างก็ได้สาบานตนในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าแล้วว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าเป็นพยานระหว่างเราและท่าน และระหว่างผู้สืบเชื้อสายของเราและของท่านไปตลอดกาล’” แล้วดาวิดก็จากไป ส่วนโยนาธานก็เข้าไปในเมือง

Footnotes

  1. 20:8 1 ซามูเอล 18:3
  2. 20:15 2 ซามูเอล 9:1-13
  3. 20:25 ภาษาฮีบรูแปลได้ความว่า ยืน
  4. 20:26 เลวีนิติ 7:20,21