พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกินหนังสือม้วนซึ่งอยู่ตรงหน้าเจ้านี้ แล้วไปกล่าวแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล” ข้าพเจ้าจึงอ้าปาก พระองค์ก็ประทานหนังสือม้วนให้ข้าพเจ้ากิน

แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกินหนังสือม้วนที่เรามอบแก่เจ้านี้ให้เต็มท้อง” ข้าพเจ้าก็กิน หนังสือนั้นมีรสหวานเหมือนน้ำผึ้งในปากของข้าพเจ้า

แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย บัดนี้จงไปหาพงศ์พันธุ์อิสราเอล และกล่าวถ้อยคำของเราให้พวกเขาฟัง เราไม่ได้ส่งเจ้าไปหาชนชาติที่พูดภาษายากๆ และเจ้าฟังไม่เข้าใจ แต่ให้ไปหาชนชาติอิสราเอล เราไม่ได้ส่งเจ้าไปหาชนชาติต่างๆ ที่พูดภาษายากๆ และเจ้าฟังไม่เข้าใจ แน่ทีเดียว หากเราส่งเจ้าไปหาคนพวกนั้น พวกเขายังจะรับฟัง ส่วนพงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่ยอมฟังเจ้าเพราะพวกเขาไม่เต็มใจจะฟังเรา เนื่องจากพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดนั้นใจแข็งดื้อด้าน แต่เราจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งและมุ่งมั่นพอๆ กับพวกเขา เราจะทำให้หน้าผากของเจ้าเหมือนหินผาที่แข็งแกร่งที่สุดและแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินเหล็กไฟ อย่ากลัวหรืออย่าขวัญผวาเพราะพวกเขา แม้ว่าพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ชอบกบฏ”

10 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงตั้งใจฟังให้ดีและจงจดจำทุกถ้อยคำที่เรากล่าวแก่เจ้าให้ขึ้นใจ 11 บัดนี้จงไปหาพี่น้องร่วมชาติของเจ้าที่ตกเป็นเชลยอยู่ และจงกล่าวกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้’ จงพูดกับพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะฟังหรือไม่ก็ตาม”

12 แล้วพระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้น และข้าพเจ้าได้ยินเสียงกระหึ่มจากทางด้านหลังของข้าพเจ้าว่า “ขอพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นที่สรรเสริญยกย่องในที่ประทับของพระองค์!” 13 มีเสียงปีกกระทบกันของสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้น และเสียงวงล้อที่อยู่ข้างตัวดังกระหึ่ม 14 แล้วพระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้นและพาไป ข้าพเจ้าขมขื่นและโกรธเคืองในจิตใจ พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าหนักอยู่เหนือข้าพเจ้า 15 ข้าพเจ้ามาถึงเหล่าเชลยซึ่งอาศัยอยู่ที่เทลอาบิบใกล้แม่น้ำเคบาร์ ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา ในที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่และอัดอั้นตันใจอยู่ตลอดเจ็ดวัน

คำเตือนอิสราเอล

16 เมื่อครบเจ็ดวัน พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า 17 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เราได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นยามสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล ฉะนั้นจงฟังถ้อยคำที่เรากล่าว แล้วแจ้งคำเตือนของเราแก่พวกเขา 18 เมื่อเราบอกคนชั่วว่า ‘เจ้าจะต้องตายแน่’ และเจ้าไม่ไปเตือนเขาหรือพูดชักชวนเขาให้ออกจากทางชั่วเพื่อช่วยชีวิตเขา คนชั่วคนนั้นก็จะตายเพราะ[a]บาปของตน และเราจะให้เจ้ารับผิดชอบที่เขาต้องตาย 19 แต่หากเจ้าเตือนคนชั่วนั้นแล้ว และเขาไม่ยอมหันจากความชั่วหรือเลิกทำผิด เขาก็จะตายเพราะบาปของตน แต่ตัวเจ้าจะช่วยตัวเองให้รอด

20 “และเมื่อคนชอบธรรมหันจากความชอบธรรมไปทำชั่ว เราจะวางสิ่งที่ทำให้สะดุดไว้ตรงหน้าเขา แล้วเขาจะตาย เนื่องจากเจ้าไม่ได้เตือนเขา เขาจะตายเพราะบาปของตน เราจะไม่จดจำความชอบธรรมของเขา และเราจะให้เจ้ารับผิดชอบที่เขาต้องตาย 21 แต่หากเจ้าเตือนคนชอบธรรมไม่ให้ทำบาปและเขาก็ไม่ทำบาป เขาย่อมจะมีชีวิตอยู่เพราะรับฟังคำเตือน และเจ้าก็ได้ช่วยชีวิตตัวเองให้รอด”

22 พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือข้าพเจ้าที่นั่น และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงลุกขึ้นและออกไปยังที่ราบ เราจะพูดกับเจ้าที่นั่น” 23 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นและออกไปยังที่ราบนั้น พระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นั่น เช่นเดียวกับพระเกียรติสิริซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์และข้าพเจ้าก็หมอบกราบซบหน้าลงถึงดิน

24 แล้วพระวิญญาณเสด็จเข้ามาในตัวข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ายืนขึ้น พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ไปเถิด จงขังตัวเองอยู่ในบ้านของเจ้า 25 แล้วบุตรมนุษย์เอ๋ย พวกเขาจะใช้เชือกมัดเจ้า เจ้าจึงไม่สามารถไปไหนมาไหนในหมู่ประชากรได้ 26 เราจะทำให้ลิ้นของเจ้าคับติดเพดานปาก เพื่อเจ้าจะนิ่งใบ้และไม่อาจว่ากล่าวตักเตือนพวกเขา แม้พวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ชอบกบฏ 27 แต่เมื่อเรากล่าวกับเจ้า เราจะเปิดปากเจ้าและเจ้าจะกล่าวกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้’ ใครที่รับฟังก็ให้รับฟังไป ใครจะปฏิเสธก็ปฏิเสธไป เพราะพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ชอบกบฏ

Footnotes

  1. 3:18 หรือใน เช่นเดียวกับข้อ 19 และ 20

และพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงกินสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเจ้า จงกินหนังสือม้วนนี้ แล้วจงไปพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล” ดังนั้น ข้าพเจ้าอ้าปาก และพระองค์ให้ข้าพเจ้ากินหนังสือม้วนนั้น และพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกินหนังสือม้วนที่เราให้เจ้า ให้มันซึมซับเข้าไปทั่วร่างกายของเจ้า” และข้าพเจ้าก็กินหนังสือม้วนนั้น มันมีรสหวานปานน้ำผึ้งในปากของข้าพเจ้า

และพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงไปยังพงศ์พันธุ์อิสราเอล และบอกพวกเขาถึงสิ่งที่เราพูด ด้วยว่า เจ้าไม่ได้ถูกส่งไปยังชนชาติที่ใช้คำพูดของชนต่างชาติและภาษาที่ยาก แต่จะไปยังพงศ์พันธุ์อิสราเอล ไม่ได้ให้ไปยังหลายชนชาติซึ่งใช้คำพูดของชนต่างชาติและภาษาที่ยาก จึงจะทำให้เจ้าไม่เข้าใจภาษาของเขา แต่เราได้ส่งเจ้าไปยังชนชาติเหล่านั้น พวกเขาก็ควรจะฟังเจ้าอย่างแน่นอน แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่ต้องการฟังเจ้า เพราะพวกเขาไม่ต้องการฟังเรา เพราะพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงหัวรั้นและใจดื้อด้าน ดูเถิด เราได้ทำให้หน้าของเจ้าขมึงทึงและหัวรั้นเหมือนกับที่พวกเขาเป็น ให้หน้าผากของเจ้าเป็นอย่างหินแข็งที่สุด แข็งยิ่งกว่าหินคม จงอย่ากลัวพวกเขา หรือตกใจกลัวเมื่อเห็นพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน” 10 ยิ่งกว่านั้น พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงรับไว้ในใจเจ้า และใช้หูรับฟังทุกคำพูดที่เราจะกล่าวกับเจ้า 11 และจงไปยังชนร่วมชาติของเจ้าซึ่งลี้ภัยอยู่ และพูดกับพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้’ ไม่ว่าพวกเขาจะฟังหรือไม่ยอมฟังก็ตาม”

12 ครั้นแล้ว พระวิญญาณก็ยกตัวข้าพเจ้าขึ้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังกระหึ่มดั่งแผ่นดินไหวที่เบื้องหลังว่า “ขอพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าได้รับการสรรเสริญในที่พระองค์สถิต” 13 เป็นเสียงปีกของบรรดาสิ่งมีชีวิตสัมผัสกัน และเป็นเสียงล้อที่อยู่ข้างตัว และเป็นเสียงดังกระหึ่ม 14 พระวิญญาณพัดข้าพเจ้าขึ้นและพาข้าพเจ้าไป จิตวิญญาณข้าพเจ้าฉุนเฉียวและไปด้วยความขมขื่น มืออันมั่นคงของพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า 15 และข้าพเจ้าก็ไปยังบรรดาผู้ลี้ภัยที่เทลอาบิบ พวกเขาอาศัยอยู่ใกล้แม่น้ำเคบาร์ และข้าพเจ้านั่งในท่ามกลางพวกเขา ข้าพเจ้านั่งตกตะลึงอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 7 วัน

ผู้เฝ้ายามของอิสราเอล

16 หลังจาก 7 วันผ่านไป พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ 17 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เราได้ให้เจ้าเป็นผู้เฝ้ายามของพงศ์พันธุ์อิสราเอล เมื่อใดก็ตามที่เจ้าได้ยินคำพูดจากปากของเรา เจ้าจะต้องตักเตือนพวกเขาให้เรา 18 ถ้าเราพูดกับคนชั่วร้ายว่า ‘เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน’ และถ้าเจ้าไม่ให้คำเตือน หรือพูดตักเตือนคนชั่วร้ายให้ละจากวิถีทางชั่วเพื่อรักษาชีวิตไว้ คนชั่วคนนั้นก็จะตายเนื่องจากบาปของเขา แต่เราจะให้ชีวิตของเขาอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้า 19 แต่ถ้าเจ้าเตือนคนชั่วร้าย และเขาไม่หันไปจากความชั่วร้ายหรือจากวิถีทางชั่ว เขาจะตายเนื่องจากบาปของเขา แต่เจ้าจะรักษาจิตวิญญาณของเจ้าไว้ได้ 20 และในวิธีเดียวกันคือ ถ้าผู้มีความชอบธรรมหันไปจากความชอบธรรม และไร้ความยุติธรรม เราจะวางเครื่องกีดขวางกั้นเขา เขาก็จะตาย เพราะเจ้าไม่ได้ตักเตือนเขา เขาจะตายเพราะบาปของเขา และการกระทำอันชอบธรรมของเขาที่เคยทำไว้ก็จะไม่เป็นที่ระลึกถึง แต่ชีวิตของเขาอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้า 21 แต่ถ้าเจ้าเตือนผู้ที่มีความชอบธรรมผู้นั้นไม่ให้กระทำบาป และเขาไม่กระทำบาป เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เพราะเขารับคำเตือน และเจ้าจะรักษาจิตวิญญาณของเจ้าไว้ได้”

22 มือของพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้าที่นั่น และพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “จงลุกขึ้น และเข้าไปในหุบเขา และเราจะพูดกับเจ้าที่นั่น” 23 ข้าพเจ้าลุกขึ้น และเข้าไปในหุบเขา ดูเถิด พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นั่น เหมือนกับพระบารมีที่ข้าพเจ้าได้เห็นแล้วที่ข้างแม่น้ำเคบาร์ และข้าพเจ้าซบหน้าลงกับพื้น 24 แต่พระวิญญาณก็เข้าสู่ตัวข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ายืนขึ้น และพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “เจ้าจงไป และอยู่ในบ้านของเจ้าตามลำพัง 25 ดูเถิด บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจะถูกเชือกมัดตัว และเจ้าจึงออกไปอยู่ท่ามกลางผู้คนไม่ได้ 26 และเราจะทำให้ลิ้นของเจ้าติดอยู่กับเพดานปาก เจ้าจะเป็นใบ้และพูดตักเตือนว่ากล่าวพวกเขาไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน 27 แต่เมื่อเราพูดกับเจ้า เราจะเปิดปากเจ้า และเจ้าจะพูดกับพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้’ ผู้ที่จะฟัง ให้เขาฟัง และผู้ที่ไม่ยอมฟัง ก็ช่างเขา เพราะว่าพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน

พระองค์พูดกับผมว่า “เจ้าลูกมนุษย์ กินสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเจ้า กินกระดาษม้วนนี้ซะ และให้ไปพูดเรื่องนี้กับครอบครัวของชาวอิสราเอล”

ดังนั้นผมจึงอ้าปาก และพระองค์ใส่ม้วนกระดาษนั้นเข้าในปากของผม แล้วพระองค์พูดว่า “เจ้าลูกมนุษย์ กินม้วนกระดาษที่เราให้กับเจ้า และให้กระเพาะของเจ้าเต็มอิ่มด้วยมัน”

ผมจึงกินมัน และมันก็มีรสหวานเหมือนน้ำเชื่อมผลไม้

แล้วพระองค์พูดกับผมว่า “เจ้าลูกมนุษย์ ตอนนี้ให้ไปหาครอบครัวของชาวอิสราเอล และเอาคำพูดต่างๆของเราไปเล่าให้กับพวกเขาฟัง

เราไม่ได้ส่งเจ้าไปหาพวกที่พูดภาษาที่เจ้าฟังไม่รู้เรื่องหรือพูดภาษาที่ยากๆ แต่เราส่งเจ้าไปหาครอบครัวของชาวอิสราเอล เราไม่ได้ส่งเจ้าไปหาคนจำนวนมากมายที่พูดภาษาที่เจ้าไม่รู้เรื่อง หรือคนที่พูดภาษายากๆที่เจ้าไม่เข้าใจ อันที่จริง ถ้าเราส่งเจ้าไปหาคนพวกนั้น พวกเขาก็คงจะฟังเจ้า แต่ครอบครัวของชาวอิสราเอลจะไม่ยอมฟังเจ้า เพราะพวกเขาไม่ยอมฟังเรา คนพวกนี้หัวแข็งและดื้อดึง คอยดูนะ เราจะทำให้เจ้าหัวแข็งเพื่อชนกับคนพวกนั้น และดื้อดึงพอๆกับคนพวกนั้น เราจะทำให้หัวของเจ้าเหมือนกับเพชร แข็งยิ่งกว่าหินเหล็กไฟ อย่ากลัวพวกเขา หรือหวาดกลัวต่อสีหน้าพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นบ้านที่ชอบกบฏ”

10 แล้วพระองค์พูดกับผมว่า “เจ้าลูกมนุษย์ ฟังให้ดีและจำใส่ใจทุกคำพูดที่เราพูดกับเจ้า 11 ตอนนี้ ให้เจ้าไปหาคนของเจ้าที่ถูกเนรเทศพวกนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะฟังหรือไม่ฟังเจ้าก็ตาม ให้พูดกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่าอย่างนี้’”

12 แล้วพระวิญญาณก็ได้ยกตัวผมขึ้น และเมื่อรัศมีของพระยาห์เวห์ลอยขึ้นมาจากสถานที่อยู่ของรัศมีนั้น[a] ผมได้ยินเสียงดังกึกก้องด้านหลังผม 13 มันเป็นเสียงที่เกิดจากปีกที่เสียดสีกันของสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้น และเสียงของล้อทั้งสี่ที่อยู่ข้างพวกเขาดังกึกก้องมาก 14 แล้วพระวิญญาณได้ยกผมขึ้นและพาผมไป ผมไปด้วยความขมขื่นและโกรธจัด และมืออันทรงพลังของพระยาห์เวห์ผลักผมไป 15 ผมได้มาถึงชาวอิสราเอลที่ถูกเนรเทศมาอยู่ที่เทลอาบิบ[b] ใกล้กับคลองขุดเคบาร์ พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่น และผมได้อยู่ที่นั่นกับพวกเขา ผมนั่งตะลึงงันพูดอะไรไม่ออกอยู่ถึงเจ็ดวัน

16 หลังจากเจ็ดวันแล้ว ถ้อยคำของพระยาห์เวห์ได้มาถึงผมว่า 17 “เจ้าลูกมนุษย์ เราได้ตั้งให้เจ้าเป็นยามเฝ้าดู[c] ครอบครัวอิสราเอล ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าได้ยินคำพูดจากปากของเรา เจ้าจะต้องไปเตือนพวกเขาให้กับเรา 18 ถ้าเราพูดกับคนชั่วคนหนึ่งว่า ‘เจ้าจะต้องตายแน่ๆ’ แล้วเจ้าไม่เตือนเขาหรือพูดให้เขากลับใจเลิกทำชั่ว เพื่อช่วยชีวิตเขา คนชั่วคนนั้นก็จะตายเพราะบาปของเขา และเราจะถือว่าเจ้าต้องรับผิดชอบต่อการตายนั้น

19 แต่ถ้าเจ้าได้เตือนคนชั่วคนนั้น แล้วเขาไม่ยอมกลับใจเลิกทำชั่ว เขาก็จะตายเพราะบาปของเขา แต่เจ้าได้ช่วยชีวิตของตัวเจ้าเองไว้

20 ถ้าคนดีคนหนึ่งหันจากการทำดีไปทำชั่วแทน เราจะวางอุปสรรคไว้ตรงหน้าเขา เพื่อให้เขาสะดุดล้ม แล้วเขาจะตาย เขาจะตายเพราะบาปของเขา เพราะเจ้าไม่ได้เตือนเขา เราจะมองข้ามสิ่งดีๆที่เขาเคยทำนั้น อย่างนี้เราถือว่าเจ้าจะต้องรับผิดชอบต่อการตายของเขา

21 แต่ถ้าเจ้าเตือนคนที่ทำดีคนนั้นไม่ให้ไปทำบาป แล้วเขาก็ไม่ได้ทำบาป เขาก็จะมีชีวิตแน่ เพราะเขาฟังคำเตือนของเจ้า และเจ้าก็จะได้ช่วยชีวิตของตัวเจ้าเองด้วย”

22 มืออันทรงพลังของพระยาห์เวห์ได้มาอยู่บนตัวผมที่นั่น พระองค์พูดกับผมว่า “ลุกขึ้นมา แล้วไปที่หุบเขานั้น แล้วเราจะพูดกับเจ้าที่นั่น”

23 ผมจึงลุกขึ้นและออกไปที่หุบเขานั้น รัศมีของพระยาห์เวห์อยู่ที่นั่น ซึ่งเหมือนกับรัศมีที่ผมเห็นข้างคลองขุดเคบาร์ ผมก้มหน้าลงกับดิน

24 พระวิญญาณได้เข้าในตัวผม และพยุงผมยืนขึ้น พระองค์พูดกับผมว่า “ไปขังตัวเองในบ้านของเจ้าซะ 25 เจ้าลูกมนุษย์ พวกเขาจะเอาเชือกมามัดเจ้าไม่ให้เจ้าออกไปอยู่ท่ามกลางประชาชน

26 เราจะทำให้ลิ้นของเจ้าติดกับเพดานปาก เพื่อเจ้าจะได้เงียบและไม่สามารถต่อว่าพวกเขาได้ ถึงแม้พวกเขาจะเป็นครอบครัวที่ชอบกบฏ 27 แต่เมื่อเราพูดกับเจ้า เราจะเปิดปากของเจ้าและเจ้าจะได้พูดกับพวกเขาว่า ‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด’ ใครอยากฟังก็ฟังเถอะ ใครไม่อยากฟังก็ไม่ต้องฟัง เพราะพวกเขาเป็นบ้านที่ชอบกบฏอยู่แล้ว

Footnotes

  1. 3:12 เมื่อรัศมีของ … ของรัศมีนั้น ประโยคนี้คงจะเป็นสำเนาต้นฉบับเดิม แต่สำเนาฮีบรูชุดหลังเขียนว่า “ขอให้รัศมีของพระยาห์เวห์ได้รับการสรรเสริญจากสถานที่ของพระองค์”
  2. 3:15 เทลอาบิบ เป็นสถานที่ที่อยู่นอกเขตของอิสราเอล พวกเราไม่แน่ใจว่าที่ตั้งที่แน่นอนของมันอยู่ที่ใด ชื่อนี้มีความหมายว่า “เนินเขาน้ำพุ” ไม่ใช่เมืองเทลอาบิบในปัจจุบันนี้
  3. 3:17 ยามเฝ้าดู ยามพวกนี้มีหน้าที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง คอยดูว่ามีศัตรูมาบุกหรือเปล่า หรือ มีเหตุร้าย หรือ ไฟไหม้ในเมืองหรือเปล่า แล้วเป่าแตรเตือนให้ทุกคนรู้