Add parallel Print Page Options

กฎเกี่ยวกับโรคผิวหนัง

13 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสและอาโรนว่า “ถ้าคนๆหนึ่งเกิดมีแผล ตกสะเก็ดหรือตุ่มน้ำใสๆขึ้นบนผิวหนัง และลุกลามกลายเป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง เขาต้องถูกนำตัวมาพบอาโรนหรือลูกชายอาโรนที่เป็นนักบวชคนใดคนหนึ่ง นักบวชจะตรวจดูแผลที่ผิวหนังตามร่างกายของเขา ถ้าขนที่แผลเปลี่ยนเป็นสีขาว และแผลก็กินลึกเข้าไปในเนื้อชั้นในแล้ว นั่นหมายถึงเขาเป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง เมื่อนักบวชตรวจดูเสร็จแล้ว เขาต้องประกาศออกมาว่าคนๆนั้นไม่บริสุทธิ์

แต่ถ้าผิวหนังตามร่างกายของคนๆนั้นเป็นจุดขาวๆแต่ไม่มีแผลที่กินลึกเข้าไปในเนื้อ และขนก็ไม่เปลี่ยนเป็นสีขาว นักบวชจะต้องแยกคนๆนั้นออกจากประชาชนเป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดนักบวชต้องกลับมาตรวจดูคนๆนั้นอีกครั้ง ถ้ารอยแผลนั้นไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ลุกลามไปบนผิวหนัง นักบวชต้องแยกคนๆนั้นออกจากประชาชนอีกเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดกลับมาตรวจดูอีกครั้ง ถ้ารอยแผลจางลงและแผลไม่กระจายลุกลามบนผิวหนัง นักบวชต้องประกาศให้คนๆนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ รอยแผลนั้นเป็นเพียงสะเก็ดแผล คนๆนั้นต้องซักล้างเสื้อผ้าของเขา หลังจากนั้นเขาก็จะเป็นผู้บริสุทธิ์

แต่ถ้าสะเก็ดแผลนั้นเกิดลุกลามไปบนผิวหนัง หลังจากที่นักบวชป่าวประกาศให้คนๆนั้นบริสุทธิ์แล้ว เขาต้องกลับไปพบนักบวชอีกครั้ง ถ้านักบวชตรวจดูแล้วพบว่าแผลลุกลามจริง นักบวชต้องประกาศใหม่ว่าคนๆนั้นเป็นคนไม่บริสุทธิ์ เพราะมันคือโรคผิวหนังเรื้อรัง เมื่อคนๆหนึ่งเป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง คนๆนั้นจะถูกนำตัวมาพบนักบวช 10 ถ้านักบวชตรวจดูและพบแผลพุพองสีขาวบนผิวหนัง ขนบางส่วนรอบๆกลายเป็นสีขาวและมีแผ่นเนื้อสดอยู่ในแผลพุพองนั้น 11 มันคือโรคผิวหนังชนิดเรื้อรัง นักบวชจะต้องประกาศว่าคนๆนั้นไม่บริสุทธิ์ โดยไม่ต้องแยกออกมาคอยดูอาการ เพราะเขาเป็นคนที่ไม่บริสุทธิ์อยู่แล้ว

12 ถ้าโรคผิวหนังเรื้อรังนั้น เกิดลุกลามไปบนผิวหนังส่วนอื่น จนเกิดเป็นโรคติดเชื้อไปทั่วผิวหนังของคนๆนั้น ตั้งแต่หัวจรดเท้า นักบวชต้องตรวจดูทุกส่วนของร่างกาย 13 นักบวชต้องดู ถ้าหากโรคมันลุกลามจนทั่วร่างกายของคนผู้นั้น จนตัวเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวทั้งหมด นักบวชต้องประกาศให้คนที่ติดเชื้อนั้น เป็นผู้บริสุทธิ์เพราะตัวเขาบริสุทธิ์แล้ว เพราะผิวหนังได้เปลี่ยนเป็นสีขาวหมดแล้ว 14 แต่ทันทีที่มีแผลสดเกิดขึ้น เขาจะกลายเป็นคนไม่บริสุทธิ์ทันที 15 นักบวชต้องตรวจดูแผลสด และประกาศว่าคนๆนั้นเป็นคนไม่บริสุทธิ์ เพราะแผลสดเป็นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ มันคือโรคผิวหนังเรื้อรัง

16 ถ้าแผลสดนั้นหายดีแล้วเหลือแต่จุดขาว คนๆนั้นต้องไปพบนักบวช 17 ถ้านักบวชตรวจดูและพบว่าแผลนั้นได้เปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว นักบวชต้องประกาศให้คนที่ติดเชื้อนั้นเป็นคนบริสุทธิ์และคนๆนั้นก็จะบริสุทธิ์

18 เมื่อมีฝีเกิดขึ้นบนผิวหนังตามร่างกายของคนๆหนึ่ง และมันก็ได้รับการรักษาจนหาย 19 และมีรอยแผลพุพองหรือจุดขาวออกสีแดงเรื่อๆเกิดขึ้นในที่ที่เคยเป็นฝี คนๆนั้นต้องไปพบนักบวช 20 นักบวชจะตรวจดู ถ้าแผลนั้นกินลึกเข้าในผิวหนัง และขนบริเวณรอบๆเปลี่ยนเป็นสีขาว นักบวชต้องประกาศว่าคนๆนั้นเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ มันคือโรคผิวหนังเรื้อรังที่เกิดจากฝี 21 แต่ถ้านักบวชตรวจดูแผลแล้ว ไม่พบขนสีขาว แผลก็ไม่กินลึกลงไปและยังเริ่มจางลง นักบวชต้องแยกคนๆนั้นออกเป็นเวลาเจ็ดวัน 22 ถ้าแผลยังลุกลามไปตามผิวหนัง นักบวชต้องประกาศว่าคนๆนั้นไม่บริสุทธิ์ เพราะมันคือแผลติดเชื้อ 23 แต่ถ้าจุดใสๆนั้นยังมีอยู่ที่เดิมและไม่กระจายลุกลาม มันเป็นเพียงสะเก็ดแผลจากฝี นักบวชต้องประกาศว่าคนๆนั้นบริสุทธิ์

24 หรือเมื่อคนใดคนหนึ่งมีแผลไฟไหม้บนผิวหนัง และเกิดแผลรอยไหม้เป็นจุดสีขาวหรือสีออกแดงเรื่อๆ 25 นักบวชต้องตรวจแผลดู ถ้าขนที่บริเวณแผลเปลี่ยนเป็นสีขาวและมันเกิดเป็นแผลลึกเข้าไปในเนื้อ มันคือโรคผิวหนังอันตราย ที่เกิดจากแผลไฟไหม้ นักบวชต้องประกาศว่าคนๆนั้นไม่บริสุทธิ์ เพราะมันคือโรคผิวหนังอันตราย 26 แต่ถ้านักบวชตรวจดูแล้ว ไม่มีขนสีขาวบริเวณแผลและแผลก็ไม่กินลึกลงในเนื้อ ทั้งยังค่อยๆจางลง นักบวชต้องแยกคนๆนั้นออกมาเป็นเวลาเจ็ดวัน 27 ในวันที่เจ็ดถ้านักบวชไปตรวจดูคนๆนั้นอีก แล้วถ้าเห็นว่าแผลลุกลามไปบนผิวหนัง นักบวชต้องประกาศว่าคนๆนั้นไม่บริสุทธิ์ เพราะมันคือโรคผิวหนังเรื้อรัง 28 แต่ถ้าแผลนั้นยังอยู่แบบเดิมไม่ลุกลามออกไป และเริ่มจางลง มันเป็นเพียงแผลพุพองจากไฟไหม้ นักบวชต้องประกาศว่าคนๆนั้นบริสุทธิ์ เพราะนั่นคือสะเก็ดแผลที่เกิดจากแผลไฟไหม้

29 ถ้าผู้ชายหรือผู้หญิงมีแผลติดเชื้อบนหนังหัวหรือที่คาง 30 แล้วนักบวชดูที่แผลติดเชื้อนั้น แล้วพบว่ามันกินลึกลงไปถึงเนื้อ และผมเริ่มบางลงและกลายเป็นสีเหลือง นักบวชต้องประกาศว่าคนๆนั้นเป็นคนไม่บริสุทธิ์ เพราะมันคือโรคหิด เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังต่อหนังหัวและคาง 31 ถ้านักบวชตรวจดูแผลหิดนั้น แล้วพบว่ามันไม่ถึงกับเป็นแผลลึกเข้าไปในหนัง และไม่มีผมสีดำในแผล นักบวชต้องแยกคนติดเชื้อคนนั้นออกจากประชาชนเป็นเวลาเจ็ดวัน 32 ในวันที่เจ็ดนักบวชจะมาตรวจดูแผลอีกครั้ง ถ้าเห็นแผลไม่ลุกลาม ไม่มีผมสีเหลืองๆในแผล อีกทั้งเชื้อหิดไม่ได้กินลึกเข้าไปในเนื้อ 33 คนๆนั้นต้องโกนผมหรือหนวดทิ้ง แต่อย่าให้ถูกแผล แล้วนักบวชต้องแยกคนๆนั้นออกมาเป็นเวลาอีกเจ็ดวัน 34 ในวันที่เจ็ดนักบวชจะตรวจดูแผลหิดอีก ถ้าเห็นเชื้อไม่ลุกลามไปบนผิวหนังและไม่มีแผลกินลึกไปในเนื้อ นักบวชจะต้องประกาศว่าคนๆนั้นบริสุทธิ์ เขาต้องเอาเสื้อผ้าไปซักล้าง แล้วเขาจะกลายเป็นคนบริสุทธิ์ 35 แต่ถ้าเชื้อหิดนั้นเกิดลุกลามหลังจากที่นักบวชได้ประกาศว่าเขาเป็นคนบริสุทธิ์แล้ว 36 นักบวชจะต้องตรวจสอบคนๆนั้น และถ้าพบว่าเชื้อหิดนั้นลุกลามกระจายไปบนผิวหนังจริง นักบวชไม่จำเป็นต้องตรวจหาผมสีเหลืองอีกต่อไป คนๆนั้นจะกลายเป็นคนไม่บริสุทธิ์ 37 แต่ถ้าเชื้อหิดไม่มีการเปลี่ยนแปลงและมีผมสีดำเกิดขึ้นในนั้น แสดงว่าเชื้อนั้นกำลังจะหาย คนๆนั้นจะเป็นผู้บริสุทธิ์และนักบวชจะต้องประกาศว่าคนๆนั้นบริสุทธิ์

38 ถ้าผู้ชายหรือผู้หญิงเกิดมีจุดขาวๆขึ้นเต็มตัว 39 นักบวชต้องตรวจสอบดู ถ้าพบว่าจุดขาวเหล่านั้นเป็นเพียงสีขาวหม่นๆแสดงว่าเป็นผื่นคันธรรมดาที่ไม่เป็นอันตรายบนผิวหนัง และคนๆนั้นก็ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์

40 ถ้าผู้ชายผมร่วงจนหัวล้าน เขาจะยังคงบริสุทธิ์อยู่ 41 ถ้าผมเขาร่วงจากด้านหน้าไปจนหัวเขาเถิก เขาจะยังคงบริสุทธิ์อยู่ 42 แต่ถ้าเกิดมีแผลออกสีแดงเรื่อๆเกิดขึ้นบนหัวหรือบริเวณที่ผมร่วงบนหน้าผาก มันคือโรคผิวหนังเรื้อรังที่เกิดบนหัวและหน้าผาก 43 นักบวชต้องตรวจดูแผลเหล่านั้น ถ้าพบว่ามีแผลสดเกิดขึ้นบนหัวหรือบนหน้าผาก ที่กลายเป็นสีแดงเรื่อๆและมีลักษณะเหมือนแผลของโรคผิวหนังชนิดอันตรายที่เกิดบนร่างกายแล้ว 44 แสดงว่าชายผู้นั้นเป็นโรคผิวหนังอันตราย เขาคือคนที่ไม่บริสุทธิ์ นักบวชต้องประกาศว่าเขาคือคนไม่บริสุทธิ์ เพราะเขาติดเชื้อที่หัว

45 ถ้าคนๆหนึ่งเป็นโรคผิวหนังชนิดอันตราย เขาต้องฉีกเสื้อผ้าตัวเองให้ขาดและต้องไว้ผมยาว และปล่อยให้หนวดยาวรุงรัง[a] และคอยตะโกนว่า ‘ไม่สะอาด ไม่สะอาด’ 46 คนๆนั้นจะไม่บริสุทธิ์ตลอดเวลาที่เขายังมีแผลติดเชื้อ เขาจะเป็นคนไม่บริสุทธิ์ และต้องไปอยู่คนเดียวที่นอกค่าย

47 หากเกิดเชื้อรา[b] ขึ้นบนเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นเสื้อขนสัตว์หรือลินิน[c] 48 ของใดก็ตามที่ถักหรือทอจากขนสัตว์หรือลินิน หรือแม้กระทั่งบนหนังสัตว์และของที่ทำจากหนังสัตว์ 49 ถ้าจุดที่เป็นราบนเสื้อผ้า หรือบนหนัง หรือของที่ถักหรือทอ หรืออะไรก็ตามที่ทำจากหนังสัตว์นั้น เป็นสีเขียวหรือสีแดง มันเป็นเชื้อที่กำลังลุกลามกระจายไปทั่ว ต้องนำของนั้นไปให้นักบวชดู 50 นักบวชจะตรวจสอบจุดที่เป็นเชื้อราเหล่านั้น และแยกของสิ่งนั้นออกมาไว้ต่างหากเป็นเวลาเจ็ดวัน 51 ในวันที่เจ็ด นักบวชจะไปตรวจสอบดูจุดเหล่านั้นอีกครั้ง ถ้ามันยังกระจายไปบนเสื้อผ้า บนของถักหรือทอ หรือบนหนังสัตว์ หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ก็ตาม โดยลุกลามเป็นเชื้อรา มันจะเป็นของที่ไม่บริสุทธิ์ 52 นักบวชต้องเอาเสื้อผ้า ของถักหรือทอจากลินินหรือขนสัตว์หรือของที่ทำจากหนังสัตว์ที่เกิดเป็นเชื้อรานั้นไปเผาทิ้ง เพราะมันเป็นเชื้อราลุกลาม มันต้องถูกไฟเผา

53 ถ้านักบวชตรวจดูพบว่าเชื้อราเหล่านั้นไม่ได้กระจายไปบนเสื้อผ้า บนของถักหรือทอ หรือบนของที่ทำจากหนังสัตว์นั้นแต่อย่างใด 54 นักบวชต้องสั่งให้คนนำผ้านั้นไปซักล้างจุดเหล่านั้นออก และนักบวชต้องแยกของนั้นออกมาไว้ต่างหากเป็นเวลาเจ็ดวัน 55 หลังจากนั้น นักบวชจะกลับมาตรวจดูอีกครั้ง ถ้าพบว่าเชื้อราเหล่านั้นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะไม่กระจายออก มันจะเป็นของไม่บริสุทธิ์ ท่านต้องเอาไปเผาไฟ ไม่ว่าจุดนั้นจะอยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังบนของนั้นก็ตาม

56 แต่ถ้านักบวชตรวจดูแล้ว พบว่าเชื้อราเหล่านั้นเริ่มจางลงหลังจากถูกซักล้าง ให้เขาตัดส่วนที่เป็นเชื้อราออกจากหนังสัตว์ ผ้า หรือสิ่งทอเหล่านั้น 57 และถ้ามันยังปรากฏอีกบนผ้าหรือเครื่องหนังเหล่านั้น และลุกลามไป ท่านต้องเอาของเหล่านั้นไปเผาไฟทิ้ง 58 แต่ถ้าจุดนั้นหายไปจากผ้า สิ่งทอ หรือเครื่องหนังที่ท่านได้นำไปล้าง ท่านต้องเอามันไปล้างซ้ำอีกครั้ง แล้วมันจะบริสุทธิ์”

59 นี่คือกฎเกี่ยวกับเชื้อราบนเสื้อผ้า ทั้งที่ทำจากขนสัตว์หรือลินิน ทั้งที่ทำโดยการถัก หรือทอ หรือบนเครื่องหนัง เพื่อตัดสินว่าของเหล่านี้บริสุทธิ์หรือไม่

Footnotes

  1. 13:45 ต้องฉีกเสื้อผ้า … รุงรัง สิ่งเหล่านี้เป็นการแสดงว่าคนผู้นั้นกำลังเศร้าโศกกับบางสิ่งบางอย่าง
  2. 13:47 เชื้อรา เชื้อประเภทหนึ่งที่เกิดบนผ้า หนังหรือไม้ที่อยู่ในที่ร้อนชื้น ในภาษาฮีบรูยังหมายถึงโรคผิวหนังด้วย
  3. 13:47 ลินิน ผ้าที่ทอมาจากใยของพืชประเภทต้นปอ

กฎเกี่ยวกับโรคผิวหนัง

13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า “เมื่อผิวหนังของผู้ใดบวมหรือเป็นผื่นหรือเป็นจุดด่าง และผิวของเขากลับกลายเป็นโรคเรื้อน ให้คนพาเขามาหาอาโรนหรือบุตรคนใดคนหนึ่งของเขาที่เป็นปุโรหิต ปุโรหิตจะตรวจดูจุดที่อยู่ตามผิวหนังของเขา ถ้าขนที่จุดนั้นเป็นสีขาวและดูเหมือนแผลลึกกว่าผิวหนัง แสดงว่าเขาเป็นโรคเรื้อน เมื่อปุโรหิตตรวจเสร็จแล้วก็ต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน แต่ถ้าแผลเป็นรอยด่างสีขาวอยู่ไม่ลึกกว่าผิวหนัง และขนบริเวณนั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีขาว ปุโรหิตจะต้องกักตัวคนเป็นโรคไว้ 7 วัน ในวันที่เจ็ดปุโรหิตจะตรวจดูเขาอีก และตามความเห็นของปุโรหิต ถ้าโรคไม่ได้ลามมากขึ้นเขาจะต้องกักตัวผู้นั้นไว้อีก 7 วัน เพื่อจะตรวจอีกหลังจากนั้น 7 วัน ถ้าเห็นว่าแผลบริเวณนั้นจางลงและไม่มีการลามบนผิวหนัง ปุโรหิตจึงจะประกาศว่าเขาสะอาด มันเป็นเพียงผื่นธรรมดา ให้เขาซักเครื่องแต่งกาย แล้วจึงจะถือว่าเขาสะอาด แต่ถ้าผื่นลามไปตามผิวหนังแม้ว่าหลังจากที่ให้ปุโรหิตตรวจดูแล้วว่าเขาสะอาด เขาก็ยังจะต้องไปหาปุโรหิตอีก ปุโรหิตต้องตรวจเขาอีกครั้ง ถ้าผื่นนั้นลามบนผิวหนัง ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เพราะเป็นโรคเรื้อน

ถ้าผู้ใดเป็นโรคเรื้อน ให้คนพาเขาไปหาปุโรหิต 10 และปุโรหิตจะตรวจดูตัวเขา ถ้าแผลที่ผิวหนังของเขาบวมเป็นสีขาว ขนก็เป็นสีขาว และผิวที่บวมนั้นอักเสบ 11 จึงนับว่าผิวหนังของเขาเป็นโรคเรื้อนขั้นเรื้อรัง ปุโรหิตจะต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน อย่ากักตัวเขาไว้ เพราะเขาเป็นมลทินแล้ว 12 ถ้าโรคเรื้อนลามทั่วผิวหนังของคนเป็นโรคตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเท่าที่ปุโรหิตจะมองเห็นได้ 13 ปุโรหิตจะตรวจดูตัวเขา ถ้าโรคเรื้อนลามไปทั่วตัว ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาสะอาดเนื่องจากตัวของเขาขาวไปทั่ว และเขาก็สะอาด 14 แต่เมื่อใดแผลนั้นอักเสบ เขาก็เป็นมลทิน 15 ปุโรหิตจะตรวจดูแผลที่อักเสบและประกาศว่าเขาเป็นมลทิน แผลที่อักเสบเป็นมลทินเพราะเป็นโรคเรื้อน 16 แต่ถ้าแผลที่อักเสบกลับดีขึ้นและกลายเป็นสีขาวอีก ก็ให้เขามาหาปุโรหิต 17 ปุโรหิตจะตรวจดูตัวเขา ถ้าโรคนั้นเป็นสีขาว ให้ปุโรหิตประกาศว่าคนนั้นสะอาด เพราะเขาสะอาด

18 ถ้าผิวหนังของผู้ใดเป็นฝีซึ่งหายแล้ว 19 แต่ต่อมาจุดที่เคยเป็นฝีเกิดบวมและเป็นแผลสีขาวหรือสีแดงเรื่อๆ ก็ต้องให้ปุโรหิตตรวจดู 20 เมื่อปุโรหิตตรวจดู เห็นว่าแผลลึกกว่าผิวหนังและมีขนเป็นสีขาว ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคเรื้อนและกลายเป็นฝี 21 แต่ถ้าปุโรหิตตรวจเห็นแล้วว่าขนไม่เป็นสีขาว แผลไม่ลึกลงไปใต้ผิวหนังและจางลงด้วย ปุโรหิตต้องกักตัวเขาไว้ 7 วัน 22 แต่ถ้าแผลลุกลามผิวหนัง ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคแล้ว 23 ถ้าขนาดของแผลอยู่คงเดิมไม่ลุกลาม แสดงว่าเป็นแต่เพียงแผลเป็นอันเกิดจากฝี ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาสะอาด

24 เมื่อผู้ใดถูกไฟไหม้ผิว และบริเวณที่ไหม้เป็นแผลอักเสบที่กลายเป็นสีแดงเรื่อๆ หรือสีขาว 25 ปุโรหิตจะต้องตรวจดูแผล ถ้าลึกลงไปใต้ผิวหนัง และมีขนเป็นสีขาว แสดงว่าเป็นโรคเรื้อนซึ่งลามไปยังจุดที่ถูกไฟไหม้ ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคเรื้อน 26 แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูแผล ซึ่งไม่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง ขนไม่เป็นสีขาว และสีจางลง ปุโรหิตต้องกักเขาไว้ 7 วัน 27 ปุโรหิตจะตรวจดูเขาในวันที่เจ็ด ถ้าแผลลาม ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคเรื้อน 28 แต่ถ้าแผลอยู่คงเดิมโดยไม่ลาม และสีจางลง แสดงว่าแผลบวมจากการถูกไฟไหม้ ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาสะอาด เพราะมันเป็นแต่เพียงแผลเป็นที่ถูกไฟไหม้

29 เมื่อชายหรือหญิงมีแผลที่ศีรษะหรือคาง 30 ปุโรหิตต้องตรวจดูแผล ถ้าเห็นว่าลึกลงไปใต้ผิวหนัง มีขนเพียงไม่กี่เส้น และเป็นสีเหลือง ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคผิวหนัง โรคเรื้อนขึ้นที่หัวหรือคาง 31 ถ้าปุโรหิตตรวจดูโรคผิวหนัง พบว่าไม่ลึกลงไปใต้ผิวหนังและไม่มีขนสีดำ ปุโรหิตต้องกักตัวคนที่เป็นโรคผิวหนังไว้ 7 วัน 32 ในวันที่เจ็ด ปุโรหิตจะตรวจดูโรค ถ้าโรคผิวหนังไม่ได้ลุกลาม ไม่มีขนสีเหลือง ผิวที่คันไม่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง 33 ต้องให้เขาโกนผมและหนวดเครา ไม่ใช่โกนบริเวณแผล ปุโรหิตต้องกักตัวคนเป็นโรคผิวหนังไว้อีก 7 วัน 34 ในวันที่เจ็ด ปุโรหิตต้องตรวจดูผิวที่คัน ถ้าไม่ได้ลุกลามและไม่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาสะอาด เขาต้องซักเครื่องแต่งกาย จึงจะถือว่าเขาสะอาด 35 แต่ถ้าโรคผิวหนังลุกลามออกไปอีกหลังจากการชำระล้าง 36 ปุโรหิตต้องตรวจดูตัวเขา ถ้าโรคผิวหนังที่คันนั้นลุกลาม ปุโรหิตไม่จำเป็นต้องดูผมหรือขนสีเหลือง เขาเป็นมลทิน 37 แต่ถ้าเท่าที่เขาตรวจดูผิวที่คันนั้นไม่เปลี่ยนแปลง และมีขนดำงอก ผิวหายคันแล้ว เขาก็สะอาด ปุโรหิตก็ต้องประกาศว่าเขาสะอาด

38 เมื่อผิวหนังของชายหรือหญิงใดมีจุดสีขาวๆ 39 ปุโรหิตต้องตรวจดู และถ้าจุดเหล่านั้นเป็นสีขาวจางๆ นั่นเป็นเพียงตำหนิที่ผิว เขาสะอาด

40 ถ้าชายใดผมร่วงจากศีรษะ ถึงเขาจะหัวล้านแต่เขาสะอาด 41 และถ้าชายใดผมร่วงจากหน้าผากหรือขมับ ผมส่วนหน้าผากล้านแต่สะอาด 42 แต่ถ้าหัวล้านหรือหน้าผากเถิกและมีจุดแดงเรื่อๆ นั่นคือโรคเรื้อนที่ลามไปถึงหัวหรือหน้าผากของเขา 43 ปุโรหิตต้องตรวจดูตัวเขา ถ้าพบจุดแดงเรื่อๆ บวมที่หัวล้านหรือหน้าผากเถิกของเขา เหมือนกับโรคเรื้อนที่เป็นตามตัว 44 เขาเป็นโรคเรื้อน เขาเป็นมลทิน ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน โรคนั้นลุกลามไปถึงศีรษะของเขาแล้ว

45 ผู้เป็นโรคเรื้อนต้องสวมเครื่องแต่งกายขาดๆ ปล่อยผม ปิดริมฝีปากบนและร้องว่า ‘เป็นมลทิน เป็นมลทิน’ 46 เขาจะยังเป็นมลทินตราบที่เขายังเป็นโรคอยู่ เขาเป็นมลทิน และจะต้องแยกออกไปอาศัยอยู่นอกค่าย

47 เมื่อพบว่ามีเชื้อโรคเรื้อนติดอยู่ที่เครื่องแต่งกาย ไม่ว่าจะเป็นผ้าขนสัตว์หรือผ้าป่าน 48 เนื้อผ้าทอหรือถักด้วยใยป่านหรือขนสัตว์ หรือสิ่งใดที่ทำจากหนังสัตว์ 49 ถ้าเชื้อโรคที่ติดเครื่องแต่งกายเป็นสีเขียวหรือแดง ไม่ว่าบนเนื้อผ้าทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ นั่นเป็นเชื้อโรคเรื้อนติดอยู่ ต้องให้ปุโรหิตตรวจดู 50 ปุโรหิตตรวจเชื้อโรค และกักสิ่งนั้นไว้ 7 วัน 51 เมื่อปุโรหิตตรวจดูในวันที่เจ็ด เห็นว่าเชื้อโรคแพร่กระจายไปตามเครื่องแต่งกายที่ทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ เชื้อโรคนั้นเป็นเชื้อโรคเรื้อนขั้นร้ายแรงและเป็นมลทิน 52 ปุโรหิตต้องเผาเครื่องแต่งกายที่ทอหรือถักจากขนสัตว์หรือผ้าป่าน หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ เพราะเป็นโรคเรื้อนขั้นร้ายแรง ต้องนำไปเผาไฟทิ้งเสีย

53 ถ้าปุโรหิตตรวจดูแล้วเห็นว่า โรคไม่ได้แพร่กระจายไปตามเครื่องแต่งกายที่ทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ 54 ปุโรหิตต้องสั่งให้คนซักสิ่งที่มีเชื้อโรคติดอยู่ และกักของไว้อีก 7 วัน 55 ปุโรหิตต้องตรวจดูสิ่งที่มีเชื้อโรคติดอยู่ที่ได้ซักล้างแล้ว ถ้าจุดติดเชื้อไม่เปลี่ยนสี และถึงแม้เชื้อไม่แพร่กระจาย แต่ก็นับว่าเป็นมลทิน ท่านจงใช้ไฟเผาสิ่งนั้นเสียไม่ว่าจุดติดเชื้อโรคจะอยู่ด้านในหรือด้านนอกก็ตาม

56 แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูเห็นว่าเชื้อโรคจางลงหลังจากซักล้างแล้ว เขาก็ต้องฉีกบริเวณจุดนั้นให้ขาดออกจากเครื่องแต่งกายหรือหนังสัตว์ หรือชิ้นที่ทอหรือถัก 57 และถ้าเกิดมีเชื้อโรคติดอยู่ที่เครื่องแต่งกาย ผ้าทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์อีก แสดงว่าเชื้อโรคกำลังแพร่กระจาย เจ้าก็จงใช้ไฟเผาสิ่งที่ติดเชื้อโรคเสีย 58 ถ้าซักล้างเครื่องแต่งกาย ผ้าทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ที่มีเชื้อโรคติดอยู่ จนทุกสิ่งสะอาดเกลี้ยงเกลาแล้ว ก็ยังต้องซักล้างอีกเป็นครั้งที่สอง มันก็จะสะอาด”

59 นี่เป็นกฎบัญญัติสำหรับโรคเรื้อนติดที่เครื่องแต่งกายผ้าขนสัตว์หรือผ้าป่าน ผ้าทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ เพื่อตัดสินว่าสิ่งใดสะอาดหรือเป็นมลทิน