Add parallel Print Page Options

เยรูซาเล็มแตกและชาวเยรูซาเล็มถูกจับไปเป็นเชลย

(2 พกษ. 24:18-25:30; 2 พศด. 36:11-20; ยรม. 39:1-10)

52 เศเดคียาห์มีอายุยี่สิบเอ็ดปีตอนที่ขึ้นเป็นกษัตริย์ แล้วพระองค์ก็ครองบัลลังก์อยู่สิบเอ็ดปี แม่ของพระองค์ชื่อฮามุทาล เป็นลูกสาวของเยเรมียาห์ผู้มาจากลิบนาห์ พระองค์ทำสิ่งที่พระยาห์เวห์เห็นว่าชั่วร้ายเหมือนกับที่เยโฮยาคิมเคยทำ ดังนั้น พระยาห์เวห์โกรธเยรูซาเล็มและยูดาห์มากจนถึงกับไล่พวกเขาไปจากพระองค์ เศเดคียาห์กบฏต่อกษัตริย์บาบิโลน ในวันที่สิบ เดือนสิบ ปีที่เก้าที่เศเดคียาห์เป็นกษัตริย์ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน และกองทัพทั้งหมดของพระองค์ก็ยกมาที่เยรูซาเล็มและตั้งค่ายรอบเมือง และสร้างอุปกรณ์โจมตีทั้งหลายไว้รอบกำแพงเมือง

พวกนั้นโจมตีป้อมปราการครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงปีที่สิบเอ็ดของกษัตริย์เศเดคียาห์ ในวันที่เก้า เดือนสี่ ความอดอยากในเมืองนั้นก็แสนสาหัสนัก จนไม่มีอาหารให้ประชาชนกินกัน แล้วศัตรูก็ทลายกำแพงเข้ามาในเมือง ทหารทั้งหมดก็วิ่งหนี พวกเขาหนีออกนอกเมืองตอนกลางคืนไปตามถนน ผ่านทางประตูที่อยู่ระหว่างกำแพงสองชั้น ใกล้ๆสวนของกษัตริย์ ในขณะที่พวกบาบิโลนล้อมเมืองไว้ และพวกเขาก็หนีไปตามถนนที่ไปยังทะเลทรายอารบา

ทหารบาบิโลนก็ไล่ตามกษัตริย์เศเดคียาห์ไป แล้วก็จับพระองค์ได้ในที่ราบของเยริโค แล้วทหารของเขาต่างพากันหนีกระเจิดกระเจิงไป พวกเขาจึงจับกุมกษัตริย์ไว้ และนำตัวไปให้กษัตริย์บาบิโลนที่ริบลาห์ในเขตฮามัท แล้วกษัตริย์บาบิโลนก็ตัดสินโทษพระองค์ 10 กษัตริย์บาบิโลนฆ่าบรรดาลูกชายของเศเดคียาห์ต่อหน้าพระองค์ แล้วก็ฆ่าเจ้านายทั้งหมดของยูดาห์ที่ริบลาห์ด้วย 11 พระองค์ได้ควักดวงตาทั้งสองข้างของกษัตริย์เศเดคียาห์ และเอาโซ่ทองสัมฤทธิ์มาล่ามพระองค์ไว้ กษัตริย์บาบิโลนเอาเศเดคียาห์ไปบาบิโลน แล้วขังพระองค์ไว้ในคุกจนตาย

คนยูดาห์ตกเป็นเชลย

12 ในวันที่สิบเดือนที่ห้า ปีที่สิบเก้าที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ปกครองบาบิโลน เนบูซาระดานหัวหน้าทหารองครักษ์ เจ้าหน้าที่ของกษัตริย์ ได้เข้าไปที่เยรูซาเล็ม 13 เขาได้เผาวิหารของพระยาห์เวห์ วังของกษัตริย์ และบ้านเรือนทั้งหมดในเยรูซาเล็ม เขาเผาบ้านที่ใหญ่โตทุกหลัง

14 แล้วกองทัพบาบิโลนทั้งสิ้นที่มากับหัวหน้าองครักษ์ ก็ทลายกำแพงทั้งหมดที่อยู่ล้อมรอบเมืองเยรูซาเล็มลง 15 แล้วเนบูซาระดานหัวหน้าองครักษ์ ได้กวาดต้อน คนจนบางคน คนที่ยังหลงเหลืออยู่ในเมือง และคนที่ก่อนหน้านี้ได้ไปมอบตัวกับชาวบาบิโลนแล้ว และพวกช่างฝีมือที่เหลือ ไปบาบิโลนจนหมด 16 แต่เนบูซาระดานหัวหน้าองครักษ์ ได้ทิ้งคนจนบางคนไว้ในแผ่นดิน เพื่อดูแลไร่องุ่นและทุ่งนา

17 เสาทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์ รวมทั้งแท่นบูชาเคลื่อนที่ และขันทะเลทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์ พวกทหารบาบิโลนก็ทุบเป็นชิ้นๆแล้วขนเอาทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดกลับไปที่บาบิโลน 18 แล้วพวกบาบิโลนก็ขนเอา พวกหม้อ พลั่ว กรรไกรตัดไส้ตะเกียง พวกชามประพรม ชามเครื่องหอม และเครื่องใช้ทองสัมฤทธิ์ที่ใช้ในวิหารไปด้วย

19 รวมทั้งชามเล็ก พวกกระถางใส่ขี้เถ้า และพวกชามสำหรับประพรม พวกหม้อ ที่ตั้งตะเกียง และชามสำหรับเครื่องหอม ขันเครื่องดื่มบูชา หัวหน้าองครักษ์เอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำจากทองและทำจากเงิน เพราะอยากได้ทองและเงินนั้น

20 ส่วนทองสัมฤทธิ์ที่ได้จากเสาสองต้น ขันทะเล วัวทองสัมฤทธิ์สิบสองตัวที่เป็นฐานรองอยู่ใต้ขันทะเล และพวกแท่นบูชาเคลื่อนที่ ที่กษัตริย์ซาโลมอนได้สร้างไว้สำหรับวิหารของพระยาห์เวห์นั้น หนักเกินกว่าที่จะชั่งได้

21 ส่วนพวกเสานั้น เสาต้นหนึ่งสูงสิบแปดศอก วัดโดยรอบได้สิบสองศอก หนาหนึ่งฝ่ามือ และตรงกลางกลวง 22 หัวของเสาทำจากทองสัมฤทธิ์ สูงห้าศอก มีลายตาข่าย มีผลทับทิมล้อมอยู่รอบหัวเสานั้น ทั้งหมดทำจากทองสัมฤทธิ์ เสาต้นที่สองและผลทับทิมก็สร้างแบบเดียวกัน 23 ในแต่ละด้านมีผลทับทิมฝังอยู่เก้าสิบหกลูก และมีผลทับทิมร้อยลูกล้อมรอบตาข่ายแต่ละอัน

24 จากวิหาร หัวหน้าองครักษ์ ได้จับตัวเสไรอาห์หัวหน้านักบวช เศฟันยาห์ รองหัวหน้านักบวช และผู้ดูแลประตูวิหารสามคนไป 25 จากเมือง หัวหน้าองครักษ์ได้จับแม่ทัพคนหนึ่งที่เคยดูแลทหาร พร้อมกับที่ปรึกษาเจ็ดคนของกษัตริย์ที่เขาเจอในเมือง และเลขาที่เป็นแม่ทัพที่เป็นคนเกณฑ์ทหาร และชาวบ้านหกสิบคนที่พบอยู่ที่กลางเมือง

26 เนบูซาระดานหัวหน้าองครักษ์ ได้ส่งคนพวกนี้ทั้งหมดไปให้กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ริบลาห์ 27 กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้แทงพวกเขาตายในริบลาห์ในเขตฮามัท ชาวยูดาห์ก็เลยถูกกวาดต้อนไปจากแผ่นดินของตน

28 นี่คือจำนวนคนที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้กวาดต้อนไป ในปีที่เจ็ดของการปกครองของพระองค์ พระองค์ได้กวาดต้อนพลเมืองยูดาห์ไปสามพันยี่สิบสามคน 29 ในปีที่สิบแปด พระองค์ได้กวาดต้อนคนไปจากเยรูซาเล็มแปดร้อยสามสิบสองคน 30 ในปีที่ยี่สิบสามแห่งรัชกาลของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เนบูซาระดานหัวหน้าองครักษ์กวาดต้อนพลเมืองยูดาห์ไปเจ็ดร้อยสี่สิบห้าคน รวมคนที่ถูกกวาดต้อนไปทั้งหมดได้สี่พันหกร้อยคน

เยโฮยาคีนได้รับเกียรติในบาบิโลน

(2 พกษ. 25:27-30)

31 ในวันที่ยี่สิบห้า เดือนสิบสอง ปีที่สามสิบเจ็ดที่กษัตริย์เยโฮยาคีนแห่งยูดาห์เป็นเชลยนั้น ในปีที่เอวิลเมโรดักเป็นกษัตริย์แห่งบาบิโลน พระองค์ได้ยกฐานะของกษัตริย์เยโฮยาคีนขึ้นมา แล้วกษัตริย์เอวิลเมโรดักได้นำตัวกษัตริย์เยโฮยาคีนออกมาจากคุก

32 กษัตริย์เอวิลเมโรดักพูดกับกษัตริย์เยโฮยาคีนอย่างสุภาพ และให้พระองค์นั่งในที่สำคัญกว่ากษัตริย์องค์อื่นๆที่อยู่กับพระองค์ในบาบิโลน

33 กษัตริย์เยโฮยาคีนได้ถอดชุดนักโทษของพระองค์ แล้วได้กินอาหารร่วมกับกษัตริย์เอวิลเมโรดักทุกวันตลอดชีวิต

34 กษัตริย์เยโฮยาคีนก็ได้รับส่วนแบ่งจากกษัตริย์บาบิโลนทุกๆวันตามความจำเป็น ตลอดชีวิตจนถึงวันตายของพระองค์

เยรูซาเล็มถล่ม

52 เศเดคียาห์มีอายุ 21 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 11 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อ ฮามุทาลบุตรหญิงของเยเรมีย์แห่งลิบนาห์ ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่เยโฮยาคิมได้กระทำทั้งสิ้น เพราะความโกรธกริ้วของพระผู้เป็นเจ้าถึงขั้นที่พระองค์ไล่พวกเขาออกไปจากเยรูซาเล็มและยูดาห์ ให้พ้นจากหน้าของพระองค์

ครั้งนั้น เศเดคียาห์ได้แข็งข้อต่อกษัตริย์แห่งบาบิโลน ในปีที่เก้าที่เศเดคียาห์ครองราชย์ วันที่สิบของเดือนสิบ[a] เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนและกองทัพของท่านทั้งหมดมาโจมตีเยรูซาเล็ม พวกเขาตั้งค่าย และก่อเชิงเทินรอบเมือง ดังนั้น เมืองถูกล้อมจนถึงปีที่สิบเอ็ดของกษัตริย์เศเดคียาห์[b] วันที่เก้าของเดือนสี่ ทุพภิกขภัยรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในเมือง จนไม่มีอาหารให้แก่ประชาชนของแผ่นดิน ครั้นแล้วกำแพงเมืองก็พังทลายลง พวกนักรบทั้งหมดก็พากันหนีออกจากเมืองในเวลากลางคืน โดยออกไปทางประตูเมืองระหว่างกำแพง 2 กำแพงที่ข้างสวนของกษัตริย์แม้ว่าชาวเคลเดียกำลังล้อมเมืองอยู่ พวกเขาหนีไปทางที่จะไปอาราบาห์ แต่กองทัพของชาวเคลเดียไล่ตามกษัตริย์ และจับกุมเศเดคียาห์ได้ในที่ราบเยรีโค ฝ่ายกองทัพของท่านก็เตลิดหนีทิ้งท่านไป แล้วพวกเขาจับกษัตริย์ขึ้นไปให้กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ริบลาห์ในอาณาเขตของฮามัท และเนบูคัดเนสซาร์ประกาศโทษแก่ท่าน 10 กษัตริย์แห่งบาบิโลนสังหารบรรดาบุตรชายของเศเดคียาห์ต่อหน้าต่อตาท่าน และสังหารบรรดาผู้นำของยูดาห์ทั้งหมดที่ริบลาห์ด้วย 11 เศเดคียาห์ถูกควักลูกตาและล่ามโซ่ และกษัตริย์แห่งบาบิโลนก็นำตัวท่านไปยังบาบิโลน และจำคุกท่านตลอดชีวิต

พระตำหนักถูกเผา

12 ในวันที่สิบของเดือนห้า ซึ่งเป็นปีที่สิบเก้าของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกัน ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของกษัตริย์แห่งบาบิโลนมายังเยรูซาเล็ม 13 และเขาเผาพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เผาวังของกษัตริย์และบ้านทุกหลังในเยรูซาเล็ม และสถานที่สำคัญทุกแห่ง 14 กองทัพของชาวเคลเดียทั้งกองทัพที่อยู่กับผู้บัญชาการทหารคุ้มกันก็ได้พังทลายกำแพงรอบเมืองเยรูซาเล็ม 15 เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันจับตัวบางคนที่ยากจนที่สุด ประชาชนที่เหลืออยู่ในเมือง พวกที่ทิ้งบ้านทิ้งเมืองและหนีไปหากษัตริย์แห่งบาบิโลน อีกทั้งช่างฝีมือที่เหลือไปเป็นเชลย 16 เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันปล่อยคนที่ยากไร้ที่สุดในแผ่นดินบางคนให้เป็นคนทำสวนองุ่นและทำไร่ไถนา

17 ชาวเคลเดียทุบเสาหลักทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ฐานรองรับและถังเก็บน้ำทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ให้หักเป็นชิ้นๆ และขนทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดไปยังบาบิโลน 18 สิ่งอื่นๆ ที่พวกเขาได้ขนไปมี หม้อรองรับขี้เถ้า ทัพพี กรรไกรตัดไส้ดวงประทีป อ่างน้ำ ภาชนะเครื่องหอม และภาชนะทองสัมฤทธิ์ทั้งสิ้นที่ใช้ในงานของพระตำหนัก 19 ผู้บัญชาการทหารคุ้มกันก็ขนอ่างขนาดย่อมและถาดที่ใช้เก็บถ่านร้อน อ่าง หม้อ ขาตั้งตะเกียง ภาชนะเครื่องหอม และถ้วยสำหรับเครื่องดื่มบูชา ทุกสิ่งที่เป็นทองคำและเงิน 20 ส่วนเสาหลัก 2 ต้น ถังเก็บน้ำ 1 ใบ โคทองสัมฤทธิ์ 12 ตัว ที่รองรับถังเก็บน้ำ และฐานรองรับ ซึ่งกษัตริย์ซาโลมอนได้ทำไว้สำหรับพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ภาชนะเหล่านี้ทุกชิ้นที่เป็นทองสัมฤทธิ์ก็หนักเกินที่จะชั่งได้ 21 ส่วนเสาหลักกลวงแต่ละเสามีความสูง 18 ศอก ขนาดรอบวงกลม 12 ศอก หนา 1 ฝ่ามือ 22 บัวที่ยอดเสาเป็นทองสัมฤทธิ์ แต่ละบัวสูง 5 ศอก ที่รอบบัวมีตาข่ายถักและลูกทับทิมเป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น เสาหลักอีกเสามีลูกทับทิมเป็นแบบเดียวกัน 23 ที่ด้านข้างเสาหลักตกแต่งด้วยลูกทับทิม 96 ลูก รวมลูกทับทิมที่รอบตาข่ายถักที่รอบเสา 100 ลูก

ประชาชนของยูดาห์ถูกจับไปบาบิโลน

24 ผู้บัญชาการทหารคุ้มกันก็จับเสไรยาห์หัวหน้ามหาปุโรหิต เศฟันยาห์ปุโรหิตรอง และผู้เฝ้าประตู 3 คน 25 เขาจับข้าราชสำนักซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพ และที่ปรึกษาของกษัตริย์อีก 7 คนที่พบในเมือง เลขาของผู้บัญชาการทหารที่เกณฑ์ราษฎรของแผ่นดิน และประชาชน 60 คนของแผ่นดินที่พบในเมือง 26 เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันจับคนเหล่านี้ไปให้กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ริบลาห์ 27 กษัตริย์แห่งบาบิโลนก็ให้สังหารพวกเขาที่ริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท ฉะนั้นยูดาห์จึงถูกจับไปเป็นเชลยออกจากแผ่นดินของตน

28 ประชาชนที่เนบูคัดเนสซาร์จับไปเป็นเชลยในปีที่เจ็ดมีชาวยูดาห์จำนวน 3,023 คน[c] 29 ในปีที่สิบแปดแห่งการครองราชย์ของเนบูคัดเนสซาร์ ท่านจับคนจากเยรูซาเล็มจำนวน 832 คน[d] 30 ในปีที่ยี่สิบสามแห่งการครองราชย์ของเนบูคัดเนสซาร์ เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันจับชาวยูดาห์ไปเป็นเชลยจำนวน 745 คน รวมทั้งหมด 4,600 คน[e]

เยโฮยาคีนออกจากที่คุมขัง

31 หลังจากที่เยโฮยาคีน[f]กษัตริย์แห่งยูดาห์ถูกเนรเทศเป็นเวลานานถึง 37 ปี ในปีที่เอวิลเมโรดัคเริ่มเป็นกษัตริย์แห่งบาบิโลน ท่านได้กรุณาปลดปล่อยเยโฮยาคีนกษัตริย์แห่งยูดาห์ออกจากที่คุมขังในวันที่ยี่สิบห้าของเดือนสิบสอง[g] 32 ท่านแสดงความเมตตาต่อเยโฮยาคีน และให้ตำแหน่งสูงกว่ากษัตริย์อื่นๆ ที่ถูกเนรเทศไปยังบาบิโลนพร้อมๆ กัน 33 ดังนั้น เยโฮยาคีนจึงไม่สวมเสื้อนักโทษอีก และได้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับกษัตริย์เป็นประจำทุกวัน 34 กษัตริย์แห่งบาบิโลนกำหนดเงินให้เป็นค่าใช้จ่ายแก่ท่าน ตามความจำเป็นในแต่ละวันไปจนตลอดชีวิตของท่าน คือจนกระทั่งสิ้นชีวิต

Footnotes

  1. 52:4 ในเดือนมกราคม 588 ปีก่อน ค.ศ.
  2. 52:5 587 ปีก่อน ค.ศ.
  3. 52:28 598 ปีก่อน ค.ศ.
  4. 52:29 587 ปีก่อน ค.ศ.
  5. 52:30 582 ปีก่อน ค.ศ.
  6. 52:31 ชื่อนี้สะกดและออกเสียงได้ 3 แบบ ฉบับ 1 พงศาวดาร 3:16; เอสเธอร์ 2:6; เยเรมีย์ 22:24
  7. 52:31 ในเดือนกุมภาพันธ์ 594 ปีก่อน ค.ศ.