Add parallel Print Page Options

32 “ฟ้าเอ๋ย ช่วยฟังสิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูด
    แผ่นดินเอ๋ย ช่วยฟังคำพูดจากปากข้าพเจ้า
คำสอนข้าพเจ้า จะตกลงมาเหมือนฝน
    คำพูดข้าพเจ้า จะลงมาเหมือนหมอก
เหมือนสายฝนพรำๆบนหญ้าอ่อน
    เหมือนหยาดฝนบนพืชเกิดใหม่
เพราะข้าพเจ้าจะประกาศชื่อของพระยาห์เวห์
    สรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของเรา

พระศิลา[a] งานของพระองค์สมบูรณ์แบบยิ่งนัก
    ทางทุกทางของพระองค์ถูกต้อง
พระเจ้าซื่อสัตย์ พระองค์ไม่เคยทำผิด
    พระเจ้าเที่ยงตรง พระองค์ไว้วางใจได้
พวกเจ้าไม่ได้เป็นลูกหลานของพระองค์
    เพราะความผิดของพวกเจ้า
    พวกเจ้าได้ทำผิดต่อพระองค์ พวกคนหลอกลวงและเจ้าเล่ห์
พวกเจ้าจะตอบแทนพระยาห์เวห์ด้วยวิธีนี้หรือ
    พวกคนโง่และไร้สาระ
พระองค์ไม่ใช่พ่อของเจ้าผู้ที่สร้างเจ้ามาหรือ
    พระองค์ไม่ใช่ผู้ที่สร้างเจ้าและทำให้เจ้าเกิดมาเป็นชนชาติหนึ่งหรือ

จำวันเก่าๆเหล่านั้นไว้
    คิดถึงปีที่คนรุ่นก่อนๆได้ผ่านมา
ถามพ่อของเจ้าและเขาจะบอกเจ้า
    ถามผู้นำอาวุโสของเจ้าและพวกเขาจะบอกเจ้าเกี่ยวกับอดีต
เมื่อพระเจ้าผู้สูงสุดแบ่งชนชาติออก
    เมื่อพระองค์แบ่งแยกเชื้อชาติมนุษย์
พระองค์กำหนดเขตแดนของประชาชน
    ให้เท่าเทียมกับจำนวนทูตสวรรค์ที่มีอยู่[b]
แต่ส่วนแบ่งของพระยาห์เวห์คือประชาชนของพระองค์
    ยาโคบคือส่วนแบ่งของพระองค์

10 พระองค์พบเขาในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง
    ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งที่ร้าง และลมแรง
พระองค์อยู่รอบๆตัวเขาและดูแลเขา
    พระองค์ปกป้องเขาเหมือนแก้วตาของพระองค์
11 เหมือนนกอินทรีที่คอยขยับรัง[c] ของมัน
    และบินโฉบไปที่ลูกของมัน
ดังนั้น พระยาห์เวห์กางปีกของพระองค์ออกและจับพวกเขาไว้
    และแบกพวกเขาไว้บนปีกของพระองค์
12 พระยาห์เวห์เท่านั้นที่นำพวกเขาผ่านที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง
    ไม่มีพระอื่นใดที่มาช่วยพระองค์
13 พระองค์ทำให้ยาโคบมีอำนาจเหนือพื้นที่ในแถบภูเขา
    และเลี้ยงเขาด้วยพืชผลในไร่นา
พระองค์ได้ให้เขาดูดน้ำเชื่อมผลไม้จากก้อนหิน
    และน้ำมันมะกอกจากหินแข็ง
14 พระยาห์เวห์ได้ให้เนยจากวัวและนมจากแพะ
    กับไขมันจากลูกแกะและแกะตัวผู้
ฝูงวัวจากบาชานและแพะตัวผู้กับข้าวสาลีที่ดีที่สุด
    และพวกเจ้าได้ดื่มเหล้าองุ่นหมักเลือดขององุ่น

15 แต่เยชุรุน[d] อ้วนขึ้นและเริ่มเตะเจ้าของ
    เจ้าเริ่มอ้วน หนาและตะกละ
เยชุรูนทอดทิ้งพระเจ้าที่สร้างเขาขึ้นมา
    และเขาไม่ให้เกียรติพระศิลาที่ช่วยชีวิตเขา
16 พวกเขาทำให้พระองค์หึงหวงด้วยพระแปลกหน้า
    พวกเขาทำให้พระองค์โกรธด้วยรูปเคารพที่น่ารังเกียจ
17 พวกเขาบูชาวิญญาณที่ไม่ใช่พระเจ้า
    พวกเขาบูชาพระที่พวกเขาไม่รู้จักมาก่อน
เป็นพระใหม่ มาถึงไม่นาน
    บรรพบุรุษของเจ้าไม่เคยเคารพยำเกรงพระเหล่านั้นมาก่อน
18 เจ้าลืมพระศิลาที่ให้กำเนิดเจ้า
    เจ้าลืมพระเจ้าที่คลอดเจ้ามาด้วยความเจ็บปวด

19 พระยาห์เวห์เห็นสิ่งนี้และทอดทิ้งพวกเขา
    เพราะลูกชายและลูกสาวของพระองค์ทำให้พระองค์โกรธ
20 และพระองค์พูดว่า ‘เราจะหลบหน้าจากพวกเขา
    เราเห็นจุดจบของพวกเขา
เพราะพวกเขาคือคนอกตัญญู
    เป็นลูกหลานที่ไม่ซื่อสัตย์
21 พวกเขาทำให้เราหึงหวงด้วยพวกนั้นที่ไม่ใช่พระเจ้า
    พวกเขาทำให้เราโกรธด้วยรูปเคารพที่ไร้ค่าของเขา
ดังนั้น เราจะทำให้พวกเขาหึงหวงด้วยพวกที่ไม่ใช่ชนชาติ
    เราจะทำให้พวกเขาโกรธด้วยชนชาติที่โง่เขลา
22 เพราะไฟได้จุดขึ้นแล้วจากความโกรธของเรา
    และมันจะเผาลงไปถึงหลุมฝังศพ[e]
และมันจะเผาไหม้แผ่นดินและพืชผลของมัน
    และมันจะเผาไหม้ลึกลงไปถึงรากของภูเขา

23 เราจะสุมความทุกข์ยากทั้งหลายบนพวกเขา
    เราจะใช้ลูกธนูทั้งหมดยิงใส่พวกเขา
24 พวกเขาจะอ่อนแอจากความหิวโหย
    และถูกทำลายด้วยเชื้อโรคที่น่ากลัว
    และโรคระบาดที่รุนแรง
    และเราจะส่งสัตว์ป่ามาทำร้ายพวกเขาพร้อมกับงูพิษ
25 พวกทหารจะฆ่าพวกเขาบนถนน
    และความกลัวจะฆ่าพวกเขาในห้องนอน
คนหนุ่มสาวจะตาย
    รวมทั้งเด็กๆและคนแก่

26 เราเคยพูดว่า “เราจะทำลายพวกเขา
    เราจะกวาดล้างพวกเขาจนหมดสิ้น
27 แต่เรากลัวว่าศัตรูของพวกเขาจะทำให้เราโกรธ
    เพราะเข้าใจผิดในสิ่งที่เกิดขึ้น
กลัวศัตรูพวกเขาจะพูดว่า ‘พวกเราชนะด้วยอำนาจของพวกเราเอง
    พระยาห์เวห์ไม่ได้ทำอะไรเลย’”

28 เพราะพวกเขา[f] คือชาติที่ไม่มีที่ปรึกษา
    และพวกเขาไม่มีความเข้าใจ
29 ถ้าพวกเขาฉลาด เขาจะเข้าใจในสิ่งนี้
    พวกเขาจะคิดถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับเขา
30 คนๆหนึ่งจะไล่คนหนึ่งพันคนได้อย่างไร
    และคนสองคนจะทำให้คนหนึ่งหมื่นคนวิ่งหนีไปได้อย่างไร
นอกจากพระศิลาของชาวอิสราเอลได้ขายพวกเขาไปแล้ว
    นอกจากพระยาห์เวห์ได้มอบพวกเขาไป
31 เพราะศิลาของพวกเขาไม่เหมือนพระศิลาของเรา
    และผู้ปกป้องของศัตรูเราก็ไม่เข้มแข็งเท่ากับพระศิลาของพวกเรา
32 ใช่แล้ว องุ่นของพวกเขามาจากองุ่นที่เก็บไว้ของโสโดม
    และไร่องุ่นของโกโมราห์
องุ่นของพวกเขาเป็นองุ่นที่มีพิษ
    เถาองุ่นของพวกเขาจะมีรสขม
33 เหล้าองุ่นของพวกเขาเป็นเหมือนพิษงู
    เป็นพิษงูเห่าที่ร้ายแรงถึงตาย

34 พระยาห์เวห์พูดว่า ‘เราได้เก็บเหล้าองุ่นนี้ไว้
    มันถูกเก็บอยู่ในโรงเก็บของเรา’
35 เราจะใช้มันลงโทษพวกเขาเอง
    และตอบแทนพวกเขาเมื่อเท้าของพวกเขาลื่นไถล
เพราะเวลาแห่งความหายนะล่มจมของพวกเขาใกล้เข้ามาแล้ว
    การลงโทษพวกเขากำลังจะมาในเร็วๆนี้

36 เมื่อพระองค์เห็นว่าอำนาจของพวกเขาหมดลง
    ไม่มีผู้ปกครองและไม่มีผู้ช่วยเหลือ
พระยาห์เวห์ก็จะให้ความยุติธรรมกับประชาชนของพระองค์
    และพระองค์จะให้ความเมตตากับผู้รับใช้ของพระองค์
37 พระองค์จึงจะพูดว่า ‘พระของพวกเขาอยู่ที่ไหนแล้ว
    หินที่พวกเขาไว้ใจว่าปกป้องพวกเขาได้ อยู่ที่ไหนแล้ว
38 พระที่กินไขมันของเครื่องบูชาของพวกเขา
    และดื่มเหล้าองุ่นของเครื่องดื่มบูชาของพวกเขา
ให้พระพวกนั้นลุกขึ้นมาช่วยเจ้าสิ
    ให้พวกมันมาปกป้องเจ้าสิ

39 ตอนนี้เห็นแล้วหรือยังว่า เราผู้เดียว เป็นพระเจ้า
    ไม่มีพระอื่นนอกจากเรา
เราให้ความตาย เราให้ชีวิต
    เราได้ทำให้บาดเจ็บ เราจะรักษา
    และไม่มีใครที่จะช่วยให้พ้นจากมือของเราได้
40 ที่จริงแล้ว เราได้ยกมือขึ้นบนสวรรค์
    และสัญญาว่า เรามีชีวิตนิรันดร์ฉันใด
    สิ่งนี้ก็จะเกิดขึ้นกับพวกเขาแน่ๆฉันนั้น
41 เราก็จะลับดาบของเราให้คมแวววาว
    เราจะใช้มันลงโทษศัตรูของเรา คนที่เกลียดเรา
    เราจะลงโทษตามที่พวกเขาสมควรจะได้รับ
42 ลูกธนูของเราจะอาบไปด้วยเลือดของศัตรู
    ดาบของเราจะกินเนื้อหนัง
และเลือดของคนที่ถูกจับมาฆ่า
    ดาบของเราจะตัดหัวของผู้นำของศัตรูพวกนั้น’

43 ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย ให้แสดงความยินดีกับประชาชนของพระองค์
    เพราะพระองค์จะทำโทษคนที่ฆ่าพวกผู้รับใช้ของพระองค์
พระองค์จะลงโทษศัตรูของพระองค์
พระองค์จะชำระแผ่นดินของพระองค์ให้บริสุทธิ์[g][h]

โมเสสร้องเพลงให้ประชาชนฟัง

44 แล้วโมเสสก็มาร้องเพลงนี้ให้ประชาชนชาวอิสราเอลฟัง โยชูวาลูกชายของนูนก็อยู่กับโมเสส 45 เมื่อโมเสสพูดคำเหล่านี้ให้ชาวอิสราเอลทั้งหมดฟังเสร็จแล้ว 46 โมเสสจึงพูดกับพวกเขาว่า “ให้ใส่ใจกับคำพูดเหล่านี้ ที่เราได้สั่งท่านในวันนี้ ให้บอกกับลูกๆว่าคำพูดเหล่านี้เป็นคำสั่ง เพื่อพวกเขาจะได้ระมัดระวังที่จะเชื่อฟังคำสอนนี้ 47 นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันเป็นเรื่องชีวิตของพวกท่าน และผ่านทางคำสอนเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีชีวิตยืนยาวในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเป็นเจ้าของ”

โมเสสบนภูเขาเนโบ

48 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสในวันนั้นเองว่า 49 “ขึ้นไปบนเทือกเขาอาบาริม ไปที่เขาเนโบในแผ่นดินของโมอับตรงข้ามเมืองเยริโค และมองดูแผ่นดินคานาอันที่เราได้ให้กับชาวอิสราเอลไว้เป็นสมบัติของพวกเขา 50 เจ้าจะตายบนภูเขานั้นที่เจ้ากำลังจะปีนขึ้นไป และเจ้าจะได้ไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษของเจ้า เหมือนกับอาโรนพี่ชายของเจ้าที่ตายบนภูเขาโฮร์และได้ไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษของเขา 51 เพราะเจ้าทั้งสองไม่ซื่อสัตย์กับเราท่ามกลางชาวอิสราเอลที่แหล่งน้ำเมรีบาห์คาเดชในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งศิน และเพราะพวกเจ้าไม่ให้เกียรติเราว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ในหมู่ชาวอิสราเอล 52 ดังนั้นเจ้าจะได้เห็นแผ่นดินนั้นจากที่ไกลๆ แต่เจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินที่เรากำลังจะยกให้กับชาวอิสราเอล”

Footnotes

  1. 32:4 พระศิลา ชื่อหนึ่งสำหรับพระเจ้า แสดงความหมายว่าพระองค์เป็นเหมือนกับป้อมปราการหรือสถานที่ปลอดภัยและแข็งแกร่ง
  2. 32:8 ทูตสวรรค์ที่มีอยู่ ในฉบับแปลกรีกโบราณและฉบับสำเนาฮีบรูจาก ถ้ำคุมรัม แปลตรงๆได้ว่า “พวกลูกชายของพระเจ้า” แต่ฉบับฮีบรู ที่ใช้กันอยู่เกือบสองพันปี อ่านว่า “ลูกชายของอิสราเอล”
  3. 32:11 ขยับรัง นกอินทรีจะสอนลูกของมันให้บินโดยการผลักลูกๆของมันออกจากรัง แต่ตัวมันก็เตรียมพร้อมที่จะบินโฉบไปข้างใต้ลูกๆของมันเพื่อความปลอดภัย หรือคำฮีบรูน่าจะมีความหมายว่า “ดูแล ปกป้อง”
  4. 32:15 เยชุรุน อีกชื่อหนึ่งของอิสราเอล ชื่อนี้มีความหมายว่า “ดี” หรือ “ซื่อสัตย์”
  5. 32:22 หลุมฝังศพ หรือ ชีโอ เป็นสถานที่ที่คนตายแล้วไปอยู่
  6. 32:28 พวกเขา น่าจะกล่าวถึงศัตรูที่พูดถึงในข้อที่ 27 ถึงแม้จะเป็นไปได้ว่าจะหมายถึงอิสราเอล
  7. 32:43 ชำระแผ่นดินของพระองค์ให้บริสุทธิ์ ในภาษาฮีบรูหมายถึง “ทาทับ” หรือ “เช็ดออก” หรือ “ลบบาปทิ้ง”
  8. 32:43 ชำระแผ่นดินของพระองค์ให้บริสุทธิ์ หรือแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า “เช็ดน้ำตาให้กับคนของพระองค์”

32 “ฟ้าสวรรค์จงฟังเถิด แล้วเราจะพูด
    ขอให้ผืนแผ่นดินได้ยินคำจากปากของเรา
ขอให้คำสั่งสอนของเราหลั่งลงดั่งหยาดฝน
    คำพูดของเราหยดลงดั่งหยาดน้ำค้าง
ประหนึ่งหยดฝนบนใบหญ้า
    และดุจดังละอองฝนโปรยลงบนพืชพรรณไม้

ด้วยว่าเราจะประกาศพระนามของพระผู้เป็นเจ้า
    จงยอมรับว่า พระเจ้าของพวกเรายิ่งใหญ่
พระองค์เป็นศิลา การงานของพระองค์เพียบพร้อมทุกประการ
    ด้วยว่าทุกวิถีทางของพระองค์เที่ยงธรรม
พระเจ้าแห่งความสัตย์จริงและปราศจากความผิด
    พระองค์เที่ยงธรรมและมีความชอบธรรม

เขาทั้งหลายประพฤติเลวทรามต่อพระองค์
    เขาไม่ใช่บุตรของพระองค์อีกต่อไปแล้วเพราะมลทินของเขา
    และเป็นคนในยุคที่บิดเบือนและไม่ซื่อตรง
ท่านโง่เขลาและไม่มีสติยั้งคิด
    ท่านกระทำตอบพระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้หรือ
พระองค์มิใช่พระบิดาของท่านหรอกหรือที่เป็นผู้บันดาลท่านขึ้นมา
    ผู้สร้างและทำให้ท่านมั่นคง

จงจำสมัยดึกดำบรรพ์
    นึกถึงสมัยที่ผ่านพ้นมานานแล้ว
จงถามบิดาของท่าน และเขาจะบอกท่าน
    ถามพวกอาวุโสของท่าน แล้วพวกเขาจะเล่าให้ท่านทราบ
เมื่อองค์ผู้สูงสุดมอบมรดกแก่บรรดาประชาชาติ
    เมื่อพระองค์แยกบรรดาบุตรของมนุษย์ให้จากกัน
พระองค์กั้นเขตแดนให้บรรดาชนชาติได้อยู่อาศัย
    ตามแต่จำนวนบุตรของอิสราเอล
และส่วนที่พระผู้เป็นเจ้าได้รับก็คือชนชาติของพระองค์
    ชาวอิสราเอลเป็นผู้สืบมรดกของพระองค์ที่ได้มั่นหมายไว้

10 พระองค์พบพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร
    ในที่ร้างอันแร้นแค้นปราศจากผู้คน
พระองค์อารักขาและดูแลเขา
    พระองค์ปกปักรักษาเขาดั่งแก้วตาของพระองค์
11 ดั่งนกอินทรีที่เขี่ยกระตุ้นรังของมัน
    ที่บินวนเวียนอยู่ใกล้ลูกน้อย
กางปีกของมันออกคอยโอบ
    ประคับประคองให้ลูกๆ พักพิงบนปีกของมัน
12 พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่นำพวกเขาไป
    โดยไม่มีเทพเจ้าต่างชาติเกี่ยวข้องด้วย

13 พระองค์ให้พวกเขาปกครองในที่สูงแห่งแผ่นดินโลก
    และพวกเขาได้รับประทานผลผลิตจากทุ่งนา
พระองค์ให้เขาดื่มน้ำผึ้งจากซอกหิน
    และน้ำมันจากหินเหล็กไฟ
14 โยเกิร์ตจากนมโค และน้ำนมจากฝูงแพะแกะ
    ลูกแกะ อีกทั้งแพะ
และแกะตัวผู้ของบาชานอันอ้วนพี
    กับข้าวสาลีชนิดดีที่สุด
และท่านได้ดื่มเหล้าองุ่นแดงพันธุ์ดี

15 เยชูรูน[a]อ้วนพีและขัดขืน
    เจ้าอ้วนใหญ่ขึ้น ตัวหนา และอ้วนท้วน
เขาทอดทิ้งพระเจ้าผู้สร้างเขามา
    และเยาะเย้ยศิลาแห่งความรอดพ้นของเขา
16 พวกเขากระตุ้นให้ความหวงแหนของพระองค์พลุ่งขึ้นด้วยบรรดาเทพเจ้าต่างชาติ
    เขายั่วโทสะพระองค์ด้วยรูปเคารพที่น่าชัง
17 พวกเขามอบเครื่องบูชาแก่มารซึ่งไม่ใช่พระเจ้า
    แต่เป็นเทพเจ้าที่ไม่เคยรู้จัก
เป็นบรรดาเทพเจ้าใหม่ๆ
    ซึ่งบรรพบุรุษของท่านก็ไม่เคยเกรงกลัว
18 ท่านเพิกเฉยต่อศิลาผู้บังเกิดเกล้าของท่าน
    และท่านลืมพระเจ้าผู้ให้กำเนิดแก่ท่าน

19 พระผู้เป็นเจ้าเห็นการกระทำเช่นนั้น
    พระองค์โกรธและปฏิเสธบรรดาบุตรชายบุตรหญิงของพระองค์
20 และพระองค์กล่าวว่า ‘เราจะซ่อนหน้าจากพวกเขา
    เราจะดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเขาในที่สุด
เพราะพวกเขาเป็นคนในยุคที่บิดเบือน
    เป็นบุตรที่ไม่ภักดี
21 พวกเขาได้ปลุกให้เราเกิดหวงแหนด้วยสิ่งที่ไม่ใช่เทพเจ้า
    พวกเขาทำให้เราโกรธด้วยรูปเคารพซึ่งไร้ค่าของเขา
ฉะนั้นเราจะกระตุ้นให้พวกเขาอิจฉาบรรดาผู้ที่ไม่ได้เป็นชนชาติ
    เราจะทำให้พวกเขาโกรธด้วยประชาชาติที่โง่เขลา[b]
22 เพราะเพลิงไฟลุกขึ้นจากความโกรธของเรา
    และมันเผาไหม้ถึงก้นบึ้งของแดนคนตาย
เผาผลาญแผ่นดินโลกกับพืชผล
    และทำให้ฐานรากของภูเขาลุกโพลง

23 เราจะสุมความวิบัติไว้กับพวกเขา
    และเราจะยิงลูกธนูใส่เขา
24 ชีวิตของเขาจะดับลงด้วยความหิวโหย
    และถูกกลืนกินด้วยความร้อนดั่งเพลิงและโรคระบาดร้ายแรง
และเราจะทำให้เขาถูกรังควานด้วยสัตว์ป่า
    และด้วยพิษของสัตว์เลื้อยคลานที่อยู่บนดิน
25 จะมีการฆ่ารันฟันแทงในที่แจ้ง
    สิ่งอันน่าสะพรึงกลัวจะเกิดขึ้นในเรือน
ทำให้ชายหนุ่มและหญิงสาวล้มตาย
    รวมทั้งเด็กเล็กและคนชราด้วย
26 เราจะพูดก็ได้ว่า เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปให้ไกล
    เราจะทำให้มนุษย์ไม่รำลึกถึงพวกเขาอีกต่อไป
27 แต่เราไม่อยากให้ศัตรูคุยโว
    เกรงว่าปฏิปักษ์จะสำคัญผิดไป
และพวกเขาจะพูดว่า “เราได้ชัยชนะด้วยมือของเราเอง
    พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้”’

28 พวกเขาเป็นประชาชาติหนึ่งที่ขาดคำปรึกษา
    และไม่มีความหยั่งรู้
29 ถ้าพวกเขามีสติปัญญาก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้
    และก็จะสังเกตได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับเขาในที่สุด
30 คนเดียวจะขับไล่คนเป็นพัน
    และสองคนทำให้คนเป็นหมื่นเตลิดหนีได้อย่างไร
นอกจากว่าศิลาของพวกเขาทอดทิ้งเขาไปแล้ว
    และพระผู้เป็นเจ้ายอมยกพวกเขาให้แล้ว
31 เพราะศิลาของพวกเขาไม่เป็นเช่นศิลาของพวกเรา
    แม้แต่พวกศัตรูเองก็ทราบดี
32 เพราะกิ่งก้านของพวกเขาผลิออกมาจากกิ่งก้านของโสโดม
    และจากทุ่งนาของโกโมราห์
ผลองุ่นของพวกเขาเป็นผลที่มีพิษ
    เป็นพวงองุ่นขม
33 เหล้าองุ่นของพวกเขาเป็นพิษดั่งพิษงู
    พิษร้ายของงูเห่า

34 ‘เราไม่ได้เก็บเรื่องนี้ไว้เอง
    และปิดไว้อย่างมิดชิดดั่งของมีค่าของเราหรอกหรือ
35 การแก้แค้นและการสนองตอบเป็นของเรา
    เมื่อถึงคราวเท้าของพวกเขาจะพลาดพลั้ง
เพราะวันหายนะใกล้จะถึง
    และเขาจะถูกพิพากษาอย่างฉับพลัน’

36 เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะพิสูจน์ว่าคนของพระองค์ไม่ผิด
    และเมตตาต่อบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์
เมื่อพระองค์เห็นว่าพลังของพวกเขาหมดสิ้นแล้ว
    และไม่มีใครเหลืออยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นทาสหรืออิสระ
37 พระองค์จะกล่าวว่า ‘เทพเจ้าของพวกเขาอยู่ที่ไหน
    ศิลาที่เขาพึ่งพิง
38 เทพเจ้าผู้กินเครื่องสักการะที่ดีที่สุดของพวกเขา
    และดื่มเหล้าองุ่นจากเครื่องดื่มบูชาของเขา
ให้เทพเจ้าเหล่านั้นลุกขึ้นมาช่วยพวกเจ้า
    และปกป้องเจ้าเถิด

39 บัดนี้ จงดูเถิด เรานี่แหละ เราเป็นผู้นั้น
    และไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา
เราฆ่า และเราทำให้มีชีวิตอยู่
    เราทำให้บาดเจ็บ และเรารักษาให้หาย
    และไม่มีใครที่สามารถช่วยให้พ้นจากมือของเราได้
40 เราชูมือของเราขึ้นสู่สวรรค์ และประกาศว่า
    ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์กาล
41 เมื่อเราลับดาบอันวาววับของเรา
    และการพิพากษาอยู่ในมือของเรา
เราจะลงโทษพวกศัตรูของเรา
    และจะสนองตอบพวกที่เกลียดชังเรา
42 เราจะทำให้ลูกธนูของเราอาบชุ่มด้วยเลือด
    และดาบของเราจะกลืนกินเนื้อหนัง
พร้อมกับเลือดของคนถูกเชือดและเชลย
    จากหัวของศัตรูซึ่งมีผมยาว’

43 บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงยินดีกับชนชาติของพระองค์เถิด
    เพราะพระองค์จะแก้แค้นเลือดของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์
พระองค์จะลงโทษศัตรูของพระองค์
    และลบล้างบาปให้แผ่นดินและชนชาติของพระองค์”

44 แล้วโมเสสก็มากล่าวคำในบทเพลงทั้งหมดให้ประชาชนได้ยิน ทั้งตัวท่านกับโยชูวาบุตรของนูน 45 เมื่อโมเสสกล่าวแก่ชาวอิสราเอลจบแล้ว 46 ท่านกล่าวแก่พวกเขาต่อไปว่า “จงใส่ใจในคำพูดที่เรากำชับพวกท่านในวันนี้ เพื่อท่านจะได้สั่งลูกๆ ของท่านให้กระทำตามคำกล่าวในกฎบัญญัตินี้อย่างระมัดระวัง 47 เพราะไม่ใช่เรื่องพูดเล่น แต่เป็นชีวิตของพวกท่าน ท่านจะมีชีวิตยืนยาวในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเพื่อยึดครองก็ด้วยการกระทำตามคำสั่งดังกล่าว”

โมเสสสิ้นชีวิตที่ภูเขาเนโบ

48 ในวันเดียวกันนั้นเอง พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 49 “จงขึ้นไปที่เทือกเขาอาบาริมนี้ ไปยังภูเขาเนโบซึ่งอยู่ในแผ่นดินโมอับ ตรงข้ามกับเมืองเยรีโค แล้วมองดูแผ่นดินคานาอันที่เรามอบให้ชาวอิสราเอลเป็นเจ้าของ 50 และสิ้นลมบนภูเขาที่เจ้าขึ้นไป เจ้าจะถูกนำไปรวมอยู่กับชนชาติของเจ้าที่ล่วงลับไปแล้ว อย่างที่อาโรนพี่ชายของเจ้าสิ้นชีวิตที่ภูเขาโฮร์และถูกนำไปรวมอยู่กับชนชาติของเขาที่ล่วงลับไปแล้ว[c] 51 เพราะเจ้าไม่ภักดีต่อเราท่ามกลางชาวอิสราเอลที่แหล่งน้ำเมรีบาห์-คาเดช[d] ในถิ่นทุรกันดารศิน เพราะเจ้าไม่แสดงความเคารพต่อเราท่ามกลางชาวอิสราเอลว่าเราบริสุทธิ์ 52 เจ้าจะเห็นแผ่นดินอยู่เบื้องหน้าเจ้า แต่จะไม่ได้ก้าวเท้าเข้าไปยังแผ่นดินที่เรามอบให้แก่ชาวอิสราเอล”

Footnotes

  1. 32:15 มีความหมายว่า มีความชอบธรรม คืออิสราเอล
  2. 32:21 โรม 10:19
  3. 32:50 กันดารวิถี 20:22-29
  4. 32:51 อพยพ 17:1-7; กันดารวิถี 20:1-13