Add parallel Print Page Options

พระเยซูและเพื่อนๆอยู่ที่เบธานี

(มธ. 26:6-13; มก. 14:3-9)

12 หกวันก่อนถึงเทศกาลวันปลดปล่อย พระเยซูไปที่หมู่บ้านเบธานีเพื่อหาลาซารัส คนที่พระองค์ทำให้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย ลาซารัส และพี่สาวของเขาได้เตรียมอาหารเย็นไว้ต้อนรับพระองค์ มารธาก็คอยให้บริการแขก ลาซารัสนั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะเดียวกับพระเยซู มารีย์เอาน้ำมันหอมนาระดา[a] บริสุทธิ์ที่มีราคาแพงมากครึ่งลิตรมาเทลงที่เท้าทั้งสองข้างของพระเยซู และใช้ผมของตัวเองเช็ดเท้าของพระองค์จนแห้ง บ้านทั้งหลังก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันหอม

ยูดาส อิสคาริโอท ศิษย์คนหนึ่งของพระเยซูที่ต่อมาได้ทรยศพระองค์พูดว่า “ทำไมไม่เอาน้ำมันหอมไปขาย แล้วเอาเงินมาแจกจ่ายให้กับคนจน คงจะขายได้เงินเท่ากับค่าแรงเป็นปี[b] เชียวนะ” (ที่ยูดาสพูดอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นห่วงคนจน แต่เพราะเขาเป็นหัวขโมย ชอบยักยอกเงินในถุงส่วนรวมที่เขาเป็นคนดูแล)

พระเยซูพูดว่า “อย่ายุ่งกับนาง นางทำถูกแล้วล่ะที่ได้เก็บน้ำมันหอมนั้นไว้จนถึงวันนี้ซึ่งเป็นวันเตรียมฝังศพของเรา คุณจะมีคนจนอยู่ด้วยเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับพวกคุณเสมอไป”

แผนฆ่าลาซารัส

เมื่อคนยิวเป็นจำนวนมากรู้ว่าพระเยซูอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี พวกเขาก็พากันไปที่นั่น ไม่ใช่จะมาหาพระเยซูเท่านั้น แต่อยากจะมาดูลาซารัส คนที่พระองค์ทำให้ฟื้นขึ้นจากความตายด้วย 10 ดังนั้นพวกหัวหน้านักบวชจึงได้วางแผนฆ่าลาซารัสด้วย 11 เพราะเรื่องที่เกิดกับลาซารัสทำให้พวกยิวหลายคนทิ้งหัวหน้านักบวชพวกนั้น แล้วมาไว้วางใจพระเยซู

พระเยซูเข้าเมืองเยรูซาเล็มอย่างกษัตริย์

(มธ. 21:1-11; มก. 11:1-11; ลก. 19:28-40)

12 วันต่อมาคนจำนวนมากที่มาร่วมงานเทศกาลวันปลดปล่อยได้ยินว่า พระเยซูกำลังเดินทางมาที่เมืองเยรูซาเล็ม 13 พวกเขาก็พากันถือกิ่งปาล์มออกไปต้อนรับพระองค์ และร้องตะโกนว่า

“ไชโย[c] ขอพระเจ้าอวยพรคนที่มาในนามขององค์เจ้าชีวิต
    คือกษัตริย์ของอิสราเอล”[d]

14 พระเยซูเจอลาหนุ่มตัวหนึ่งจึงขึ้นขี่ เหมือนกับที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า

15 “เมืองศิโยนเอ๋ย ไม่ต้องกลัว
    ดูนั่นสิ กษัตริย์ของเจ้ากำลังมา
พระองค์ขี่หลังลาหนุ่ม”[e]

16 (ในตอนแรกพวกศิษย์ของพระองค์ยังไม่เข้าใจเหตุการณ์นี้ แต่เมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายและรับเกียรติอันยิ่งใหญ่แล้ว พวกเขาถึงนึกขึ้นได้ว่าพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า พวกเขาจะทำอย่างนี้ต่อพระเยซู)

17 คนจำนวนมากที่อยู่กับพระเยซูตอนที่พระองค์เรียกลาซารัสออกมาจากอุโมงค์ฝังศพและทำให้เขาฟื้นขึ้นจากความตายนั้น ได้พูดต่อๆกันไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้น 18 ทำให้มีคนจำนวนมากพากันมาหาพระเยซู เพราะได้ยินถึงสิ่งอัศจรรย์นี้ 19 พวกฟาริสี จึงพูดกันว่า “เห็นไหม แผนของพวกเราที่จะต่อต้านเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า โลกทั้งโลกไปติดตามเขาหมดแล้ว”

พระเยซูพูดถึงชีวิตและความตาย

20 ในช่วงเทศกาลวันปลดปล่อยมีพวกกรีกบางคนมากราบไหว้บูชาพระเจ้าที่เมืองเยรูซาเล็มด้วย 21 พวกกรีกได้ไปหาฟีลิป ที่มาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี และพูดว่า “คุณครับ พวกเราอยากจะเจอพระเยซู” ฟีลิปบอกอันดรูว์ 22 แล้วเขาทั้งสองก็ไปบอกพระเยซู

23 พระเยซูบอกเขาทั้งสองว่า “ถึงเวลาแล้วที่พระเจ้าจะแสดงให้เห็นว่า บุตรมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน 24 เราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าเมล็ดพืชไม่ตกลงดินและตาย มันก็จะเป็นแค่เมล็ดเดียวเหมือนเดิม แต่ถ้ามันตาย มันจะงอกเป็นเมล็ดพืชอีกมากมาย 25 คนที่รักชีวิตของตนเองก็จะสูญเสียชีวิตไป แต่คนที่เกลียดชีวิตของตนในโลกนี้ก็จะได้รักษาชีวิตไว้ให้อยู่กับพระเจ้าตลอดไป 26 ถ้าใครรับใช้เรา เขาก็จะต้องติดตามเราไปไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม คนรับใช้ของเราก็จะต้องอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าใครรับใช้เรา พระบิดาก็จะให้เกียรติคนนั้น”

พระเยซูพูดถึงความตายของพระองค์

27 “ตอนนี้เรากำลังกลุ้มใจมากจนไม่รู้จะพูดยังไงดี จะให้เราพูดว่า ‘พระบิดา ช่วยลูกให้พ้นจากช่วงเวลาแห่งความทุกข์นี้ด้วย’ อย่างนั้นหรือ เราเข้ามาในโลกนี้ก็เพื่อจะทนต่อความทุกข์นี้ 28 พระบิดา ขอให้คนเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์”

ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังมาจากสวรรค์ว่า “เราได้ทำอย่างนั้นแล้ว และเราจะทำต่อไป”

29 คนที่อยู่ที่นั่นได้ยินเสียงจากท้องฟ้า บางคนบอกว่าเป็นเสียงฟ้าร้อง ส่วนคนอื่นบอกว่า “ทูตสวรรค์พูดกับเขา”

30 พระเยซูจึงบอกว่า “เสียงที่ได้ยินนั้น เกิดขึ้นเพื่อพวกคุณไม่ใช่เพื่อเรา 31 ถึงเวลาที่โลกนี้จะถูกตัดสินแล้ว เจ้าผู้ครอบครองโลกนี้[f] จะถูกขับไล่ออกไป 32 เมื่อเราถูกยกขึ้น[g] จากแผ่นดินโลก เราก็จะทำให้ทุกๆคนมาหาเรา” 33 (พระองค์พูดอย่างนี้ เพื่อบอกให้รู้ว่าพระองค์จะต้องตายแบบไหน)

34 ฝูงชนจึงพูดขึ้นมาว่า “ก็ไหนพระคัมภีร์บอกว่า พระคริสต์ จะมีชีวิตตลอดไป แล้วทำไมท่านมาพูดว่า ‘บุตรมนุษย์ต้องถูกยกขึ้น’ ‘บุตรมนุษย์’ คือใครหรือ”

35 พระเยซูบอกว่า “ความสว่างจะอยู่กับพวกคุณอีกประเดี๋ยวเดียว เพราะฉะนั้นให้เดินในขณะที่ยังมีความสว่างอยู่ เพื่อเมื่อความมืดมาถึง มันจะได้ไม่ปกคลุมพวกคุณ เพราะคนที่เดินอยู่ในความมืดจะมองไม่เห็นว่าจะไปทางไหน 36 ให้ไว้วางใจในความสว่างนั้นในขณะที่พวกคุณยังมีความสว่างอยู่ แล้วพวกคุณจะได้เป็นลูกของความสว่าง” เมื่อพูดจบแล้วพระองค์ก็จากไป และได้ซ่อนตัวจากฝูงชน

พวกยิวส่วนใหญ่ไม่เชื่อพระเยซู

37 ทั้งๆที่พระเยซูทำสิ่งอัศจรรย์มากมายต่อหน้าฝูงชน แต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อพระองค์ 38 ซึ่งเป็นจริงตามที่อิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้าได้พูดไว้ว่า

“องค์เจ้าชีวิต มีใครบ้างที่เชื่อเรื่องที่เราบอก
    มีใครบ้างที่เห็นฤทธิ์อำนาจขององค์เจ้าชีวิต”[h]

39 และที่พวกเขาไม่เชื่อก็เพราะพระเจ้าได้พูดผ่านทางอิสยาห์ว่า

40 “เราทำให้ตาของพวกเขาบอด และใจของพวกเขาดื้อด้าน
    เพื่อตาของพวกเขาจะได้มองไม่เห็น
และจิตใจของพวกเขาจะได้ไม่เข้าใจ
    พวกเขาจึงไม่ได้หันกลับมาหาเราเพื่อให้เรารักษา”[i]

41 อิสยาห์พูดอย่างนี้เพราะเขาเห็นแล้วว่าต่อไปภายหน้าพระเยซูจะยิ่งใหญ่แค่ไหน

42 มีพวกยิวหลายคนรวมทั้งพวกผู้นำชาวยิวได้มาเชื่อพระเยซู แต่พวกเขาไม่กล้ายอมรับพระองค์อย่างเปิดเผย เพราะกลัวพวกฟาริสี และไม่อยากถูกไล่ออกจากที่ประชุมชาวยิว 43 พวกเขารักเกียรติที่มาจากมนุษย์มากกว่าเกียรติที่มาจากพระเจ้า

คำสอนของพระเยซูตัดสินประชาชน

44 พระเยซูได้ตะโกนว่า “ใครไว้วางใจเรา ไม่ใด้แค่ไว้วางใจในตัวเราเท่านั้น แต่ก็ไว้วางใจพระบิดาผู้ที่ส่งเรามาด้วย 45 คนที่มองเห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ส่งเรามาด้วย 46 เราเข้ามาเป็นแสงสว่างให้กับโลกนี้เพื่อว่าทุกคนที่ไว้วางใจเราจะไม่อยู่ในความมืดอีกต่อไป 47 ส่วนคนที่ฟังคำสั่งสอนของเราแต่ไม่ทำตาม เราก็ไม่ตัดสินลงโทษเขาหรอก เพราะเราไม่ได้มาเพื่อตัดสินลงโทษโลกนี้ แต่เรามาเพื่อจะช่วยโลกนี้ให้รอด 48 แต่จะมีสิ่งหนึ่งที่จะตัดสินลงโทษคนที่ไม่ยอมรับเราและคำพูดของเรา นั่นก็คือคำพูดของเรานี้เองที่จะลงโทษคนเหล่านั้นในวันสุดท้าย[j] 49 เพราะคำพูดเหล่านี้เราไม่ได้พูดเอาเอง แต่พระบิดาผู้ที่ส่งเรามาเป็นผู้สั่งให้พูด 50 และเราก็รู้ว่าคำสั่งนี้ของพระองค์จะนำไปถึงชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไป เราถึงพูดตามที่พระบิดาสั่ง”

Footnotes

  1. 12:3 น้ำมันหอมนาระดา เป็นน้ำมันหอมราคาแพง ที่ได้จากรากของต้นนาระดา
  2. 12:5 ค่าแรงเป็นปี หมายถึง สามร้อยเหรียญเดนาริอัน หนึ่งเหรียญเดนาริอันก็จะเป็นค่าแรงหนึ่งวันของคนงานทั่วๆไป สามร้อยเหรียญก็เป็นค่าแรงประมาณหนึ่งปี
  3. 12:13 ไชโย หรือ ในภาษาอารเมค ใช้คำว่า โฮซันนา เป็นคำที่ใช้อธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ในช่วงเวลาของพระเยซูนี้อาจจะเป็นเสียงร้องตะโกนด้วยความสนุกสนานในการสรรเสริญพระเจ้าหรือพระเมสสิยาห์ของพวกเขา
  4. 12:13 อ้างมาจากหนังสือ สดุดี 118:25-26
  5. 12:15 อ้างมาจากหนังสือ เศคาริยาห์ 9:9
  6. 12:31 เจ้าผู้ครอบครองโลกนี้ คือ ซาตาน หรือ มาร
  7. 12:32 ถูกยกขึ้น หมายถึง ถูกตรึงที่กางเขน
  8. 12:38 อ้างมาจากหนังสือ อิสยาห์ 53:1
  9. 12:40 อ้างมาจากหนังสือ อิสยาห์ 6:10
  10. 12:48 วันสุดท้าย อ้างถึง การตัดสินลงโทษทุกคนเป็นครั้งสุดท้ายในวันสุดท้ายของโลก

น้ำมันหอมชโลมเท้า

12 ก่อนเทศกาลปัสกาได้ 6 วัน พระเยซูได้มาที่หมู่บ้านเบธานีซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัส ผู้ที่พระเยซูได้ให้ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย มีคนจัดอาหารเย็นให้พระองค์ที่นั่น และลาซารัสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมรับประทานกับพระองค์ที่โต๊ะ ขณะที่มาร์ธารับใช้อยู่ด้วย มารีย์เอาน้ำมันหอมนาราดาบริสุทธิ์ราคาแพงมาก หนักประมาณครึ่งกิโลกรัมมาชโลมเท้าของพระเยซู และเช็ดเท้าของพระองค์ด้วยผมของเธอ ทำให้ทั่วบ้านฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันหอม แต่คนหนึ่งในบรรดาสาวกของพระองค์ชื่อยูดาสอิสคาริโอท ซึ่งเป็นคนที่ตั้งใจจะทรยศพระองค์พูดขึ้นว่า “ทำไมไม่เอาน้ำหอมนี้ไปขาย จะได้ราคา 300 เหรียญเดนาริอัน และเอาเงินไปแจกแก่ผู้ยากไร้เล่า” ที่เขาพูดขึ้นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเขาเอาใจใส่ผู้ยากไร้ แต่เป็นเพราะว่าเขาเป็นคนหัวขโมย และเมื่อมีหน้าที่ดูแลรักษากล่องเก็บเงิน เขาจึงเคยยักยอกเงินที่เก็บสะสมไว้ ดังนั้นพระเยซูจึงกล่าวว่า “ปล่อยนางเถิด นางเก็บน้ำหอมไว้สำหรับวันฝังศพของเรา พวกเจ้ามีผู้ยากไร้อยู่ด้วยเสมอ แต่เราไม่ได้อยู่กับพวกเจ้าตลอดไป”

ฝูงชนชาวยิวจำนวนมากทราบว่าพระองค์อยู่ที่นั่นจึงได้พากันมา มิใช่เพียงเพื่อพบพระเยซูเท่านั้น แต่ด้วยความอยากเห็นลาซารัสที่พระองค์ให้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายด้วย 10 และพวกมหาปุโรหิตเองก็หมายจะฆ่าลาซารัสเช่นกัน 11 เพราะลาซารัสนี่เองที่ทำให้ชาวยิวหลายคนหันเหไปเชื่อในพระเยซู

พระเยซูเข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม

12 วันรุ่งขึ้นเมื่อมหาชนที่มาร่วมงานเทศกาลได้ยินว่า พระเยซูกำลังจะมายังเมืองเยรูซาเล็ม 13 จึงถือกิ่งอินทผลัมออกไปต้อนรับพระองค์แล้วก็เริ่มร้องว่า “โฮซันนา[a] ขอพระองค์ผู้มาในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นสุข ขอกษัตริย์ของอิสราเอลจงเป็นสุขเถิด”[b] 14 พระเยซูจึงนั่งบนลูกลาที่ได้มา ตามที่มีบันทึกไว้ว่า

15 “ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย
    ดูเถิด กษัตริย์ของเจ้ากำลังมา
    นั่งบนหลังลูกลา”[c]

16 ตอนแรก บรรดาสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อพระเยซูได้รับพระบารมีแล้ว พวกเขาจึงจำได้ว่าสิ่งที่เขียนไว้นั้น ระบุถึงพระองค์และสิ่งที่ประชาชนได้กระทำต่อพระองค์ 17 พวกคนที่อยู่กับพระองค์ในเวลาที่พระองค์เรียกลาซารัสออกมาจากถ้ำเก็บศพ และให้เขาฟื้นคืนชีวิตจากความตายนั้น ก็กำลังยืนยันถึงเรื่องราวของพระองค์ 18 ด้วยเหตุนี้ฝูงชนจึงพากันไปหาพระองค์ เพราะเขาได้ยินกันว่าพระองค์ได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์นั้น 19 พวกฟาริสีจึงพูดโต้ตอบกันว่า “ท่านเห็นไหมว่าท่านทำอะไรไม่ได้เลย ดูสิ ทั้งโลกได้ติดตามเขาไปแล้ว”

พระเยซูแจ้งมรณกาลของพระองค์ล่วงหน้า

20 ในบรรดาผู้คนที่ขึ้นไปนมัสการในงานเทศกาลนั้นมีชาวกรีกร่วมไปด้วย 21 พวกเขาได้ไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี และพูดกับเขาว่า “นายท่าน พวกเราอยากจะเห็นพระเยซู” 22 ฟีลิปไปบอกอันดรูว์ แล้วทั้งฟีลิปกับอันดรูว์ก็ไปบอกพระเยซู 23 พระเยซูตอบเขาทั้งสองว่า “ถึงกำหนดเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระบารมี 24 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ถ้าเมล็ดข้าวสาลีไม่ตกลงบนพื้นดินและตายไป เมล็ดนั้นก็จะอยู่เพียงเมล็ดเดียว แต่ถ้าเมล็ดตายไปก็จะเกิดผลงอกงาม 25 ผู้ที่รักชีวิตของตนจะสูญเสียชีวิตนั้นไป และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้จะรักษาชีวิตไว้ได้ชั่วนิรันดร์ 26 ถ้าผู้ใดรับใช้เราก็ให้ติดตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะให้เกียรติแก่ผู้นั้น

27 ขณะนี้จิตใจของเราเป็นทุกข์ จะให้เราพูดอย่างไรดี จะให้พูดว่า ‘พระบิดา โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากช่วงเวลานี้เถิด’ อย่างนั้นหรือ ก็ไม่ได้ เป็นเพราะเหตุนี้เราจึงได้มาเผชิญช่วงเวลานี้อยู่ 28 พระบิดา ขอพระนามของพระองค์ได้รับพระบารมีเถิด” ในขณะนั้นได้มีเสียงจากสวรรค์ว่า “เราทั้งได้รับบารมีแล้ว และจะได้รับอีก” 29 บางคนในฝูงชนที่ยืนฟังอยู่พูดกันว่าเป็นเสียงฟ้าร้อง บ้างก็ว่าทูตสวรรค์ได้พูดกับพระองค์ 30 พระเยซูตอบว่า “เสียงนี้ไม่ได้เปล่งออกมาเพื่อเรา แต่เพื่อพวกท่าน 31 บัดนี้การกล่าวโทษอยู่กับโลกนี้ และบัดนี้ผู้ครองโลก[d]จะถูกโยนออกไปแล้ว 32 เมื่อเราถูกชูขึ้นเหนือโลก เราจะนำให้ทุกคนมาหาเรา” 33 พระองค์กล่าวเช่นนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าพระองค์จะต้องสิ้นชีวิตอย่างไร 34 ฝูงชนจึงตอบว่า “เราได้ยินจากกฎบัญญัติว่าพระคริสต์จะดำรงอยู่ตลอดกาล และท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกชูขึ้น’ บุตรมนุษย์คือใคร” 35 พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ในเมื่อความสว่างยังอยู่กับท่านยาวนานขึ้นอีกชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง จงเดินขณะที่ยังมีความสว่างอยู่ เพื่อว่าความมืดจะได้เอาชนะท่านไม่ได้ ผู้ที่เดินอยู่ในความมืดย่อมไม่รู้ว่าจะไปทางไหน 36 ขณะที่มีความสว่าง ก็จงเชื่อในความสว่าง เพื่อว่าท่านจะได้เป็นพวกบุตรของความสว่าง” หลังจากที่พระเยซูกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้แล้วก็จากไปเพื่อหลบซ่อนให้พ้นจากพวกเขา

ความไม่เชื่อของชาวยิว

37 ถึงแม้ว่าพระองค์ได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์หลายสิ่งต่อหน้าพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อพระองค์ 38 ซึ่งเป็นไปตามคำที่อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ากล่าวไว้คือ

“พระผู้เป็นเจ้า ใครบ้างที่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากพวกเราแล้ว
    และอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏแจ้งแก่ผู้ใด”[e]

39 ด้วยเหตุนี้พวกเขาไม่อาจจะเชื่อในสิ่งเหล่านี้ เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้อีกว่า

40 “พระองค์ได้ทำให้พวกเขาตาบอด
    และทำใจของเขาให้แข็งกระด้าง
พวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นด้วยตา
    หรือเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมา
    แล้วเราจะรักษาเขาให้หายขาด”[f]

41 อิสยาห์พูดถึงพระองค์และกล่าวอ้างถึงสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะว่าได้เห็นพระบารมีของพระองค์แล้ว

42 แม้จะมีผู้คนจำนวนมากในบรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองที่เชื่อในพระองค์ แต่เป็นเพราะพวกฟาริสี พวกเขาจึงไม่กล้ายอมรับกัน ด้วยเกรงว่าจะถูกขับไล่ออกจากศาลาที่ประชุม ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย 43 ผู้คนเหล่านั้นยังปรารถนาที่จะได้รับการยกย่องจากคนมากกว่าพระเจ้า

44 แล้วพระเยซูก็เปล่งเสียงดังว่า “ผู้ที่เชื่อเราหาได้เชื่อในเราเท่านั้นไม่ แต่เชื่อในพระองค์ผู้ส่งเรามาด้วย 45 และผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ส่งเรามา 46 เราได้มายังโลกนี้ในฐานะที่เป็นความสว่าง เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อเราจะได้ไม่อยู่ในความมืด 47 ถ้าผู้ใดได้ยินคำพูดของเราและไม่กระทำตาม เราก็จะไม่กล่าวโทษผู้นั้น เพราะเราไม่ได้มาเพื่อจะกล่าวโทษโลก แต่มาเพื่อช่วยโลกให้รอดพ้น 48 มีการกล่าวโทษสำหรับคนที่ไม่ยอมรับเราและคำของเราอยู่แล้ว คำที่เราพูดไว้จะกล่าวโทษเขาในวันสุดท้าย 49 เราไม่ได้พูดตามใจของเราเอง แต่พระบิดาผู้ส่งเรามาได้สั่งว่าเราจะพูดอะไรและพูดอย่างไร 50 เรารู้ว่าคำสั่งของพระองค์เป็นชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ฉะนั้นอะไรก็ตามที่เราพูดเป็นสิ่งที่พระบิดาได้กล่าวกับเรา”

Footnotes

  1. 12:13 โฮซันนา เป็นภาษาฮีบรู มีความหมายว่า ช่วยให้รอดพ้น
  2. 12:13 สดุดี 118:25,26
  3. 12:15 เศคาริยาห์ 9:9
  4. 12:31 ผู้ครองโลกคือ พญามารหรือซาตาน
  5. 12:38 อิสยาห์ 53:1
  6. 12:40 อิสยาห์ 6:10