Add parallel Print Page Options

แล้วพระองค์พูดกับพวกเขาว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า มีบางคนในที่นี้จะยังไม่ตาย จนกว่าจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาพร้อมกับฤทธิ์เดชเสียก่อน”

พระเยซูอยู่กับโมเสส และเอลียาห์

(มธ. 17:1-13; ลก. 9:28-36)

หกวันต่อมาพระเยซูได้พาเปโตร ยากอบ และยอห์น ขึ้นไปบนภูเขาสูงกัน แล้วลักษณะของพระเยซูก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา เสื้อผ้าของพระองค์กลายเป็นสีขาวเปล่งประกายแวววับ ขาวกว่าที่คนฟอกผ้าในโลกนี้จะฟอกให้ขาวขนาดนี้ได้ แล้วพวกเขาก็เห็นเอลียาห์กับโมเสส[a] กำลังคุยอยู่กับพระเยซู

เปโตรบอกพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ดีมากเลยที่พวกเราอยู่ที่นี่ พวกเราจะได้สร้างเพิง ขึ้นมาสามหลัง ให้อาจารย์หลังหนึ่ง ให้โมเสสหลังหนึ่ง และให้เอลียาห์อีกหลังหนึ่ง” (เปโตรไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เพราะพวกเขากำลังตกใจกลัวมาก)

จากนั้นก็มีเมฆลอยมาปกคลุมพวกเขาไว้ และมีเสียงพูดก้องออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้คือลูกรักของเรา ให้เชื่อฟังท่าน”

พวกเขาก็หันไปดูรอบๆแต่ไม่เห็นใครเลยนอกจากพระเยซู

ขณะที่เดินลงมาจากภูเขา พระเยซูสั่งห้ามพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องที่เห็นนี้ให้ใครฟัง จนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นขึ้นจากความตาย

10 พวกเขาก็ทำตามที่พระเยซูสั่ง แต่ก็ถามกันเองว่าที่พระองค์พูดว่า “ฟื้นขึ้นจากความตาย” หมายถึงอะไร

11 พวกเขาถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกครูสอนกฎปฏิบัติถึงบอกว่า เอลียาห์ต้องมาก่อน[b]

12 พระเยซูตอบว่า “ถูกแล้ว เอลียาห์ต้องมาก่อน เพื่อมาเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่ทำไมถึงได้มีคำเขียนว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสและถูกทำให้อับอายขายหน้า 13 เราจะบอกให้รู้ว่า เอลียาห์ก็ได้มาแล้ว และพวกเขาก็ทำกับเอลียาห์ตามใจชอบของพวกเขา เหมือนกับที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์”

พระเยซูรักษาเด็กที่มีผีชั่วสิงอยู่

(มธ. 17:14-20; ลก. 9:37-43)

14 เมื่อพวกเขาลงมาถึงที่ๆพวกศิษย์คนอื่นๆอยู่ ก็เห็นฝูงชนจำนวนมากรุมล้อมพวกศิษย์เหล่านั้น พวกครูสอนกฎปฏิบัติกำลังเถียงกับศิษย์พวกนั้นอยู่ 15 เมื่อฝูงชนเห็นพระเยซู ก็รู้สึกแปลกใจมาก แล้วพากันวิ่งมาต้อนรับพระองค์

16 พระเยซูถามว่า “กำลังเถียงกันเรื่องอะไร”

17 ชายคนหนึ่งในฝูงชนตอบว่า “อาจารย์ครับ ผมพาลูกชายมาหาท่าน เขาถูกผีชั่วสิงทำให้พูดไม่ได้ 18 ทุกครั้งที่มันแผลงฤทธิ์ออกมา เด็กจะล้มลง น้ำลายฟูมปาก กัดฟันแน่น ตัวแข็งทื่อไปหมด ผมขอให้พวกศิษย์ของท่านขับผีชั่วออกให้ แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้”

19 แล้วพระเยซูพูดว่า “พวกขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกคุณไปอีกนานแค่ไหน เราจะต้องอดทนกับพวกคุณไปถึงไหน พาเด็กนั้นมานี่ซิ”

20 พวกเขาก็พาเด็กมา เมื่อผีชั่วในเด็กเห็นพระเยซู มันก็ทำให้เด็กชักกระตุกอย่างแรง ล้มลงกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น น้ำลายฟูมปาก

21 พระเยซูก็ถามพ่อของเด็กว่า “เป็นอย่างนี้มานานแล้วหรือยัง” พ่อเด็กตอบว่า “เป็นตั้งแต่เล็กๆเลยครับ 22 ไอ้ผีชั่วจะฆ่าเขาหลายครั้งแล้ว ทำให้ตกลงไปในไฟบ้าง หรือตกน้ำบ้าง ถ้าอาจารย์ช่วยได้ก็โปรดสงสารช่วยพวกเราด้วยเถิด”

23 พระเยซูจึงตอบว่า “ทำไมถึงพูดว่า ‘ถ้าอาจารย์ช่วยได้’ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ”

24 พ่อของเด็กจึงรีบร้องบอกทันทีว่า “ผมเชื่อครับ ช่วยทำให้ผมเชื่อมากขึ้นด้วยครับ”

25 เมื่อพระองค์เห็นว่าคนเริ่มมามุงดูมากขึ้น พระองค์ตวาดผีชั่วว่า “ไอ้ผีชั่วที่ทำให้คนหูหนวกและเป็นใบ้ เราสั่งให้แกออกมาจากเด็กคนนั้น และอย่าได้เข้าสิงเขาอีกเป็นอันขาด”

26 ผีชั่วก็กรีดร้องเสียงดัง มันทำให้เด็กชักกระตุกอย่างแรง แล้วออกจากร่างเด็กไป เด็กนั้นก็แน่นิ่งเหมือนตายแล้ว มีเสียงบ่นกันพึมพำว่า “เขาตายแล้ว” 27 แต่พระเยซูจับมือของเด็กและพยุงเขาขึ้นมา เด็กก็ลุกขึ้นยืน

28 เมื่อพระเยซูเข้าไปในบ้าน พวกศิษย์มาถามพระองค์ส่วนตัวว่า “อาจารย์ ทำไมพวกเราถึงไล่ผีชั่วตัวนั้นไม่ได้ล่ะครับ”

29 พระองค์บอกว่า “มีทางเดียวที่จะไล่ผีชั่วชนิดนี้ออกได้ คือต้องอธิษฐาน”[c]

พระเยซูพูดถึงเรื่องความตายของพระองค์อีก

(มธ. 17:22-23; ลก. 9:43-45)

30 พระเยซูและพวกศิษย์ก็เดินทางต่อโดยผ่านแคว้นกาลิลี พระเยซูไม่อยากให้ใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน เพราะกำลังสอนพวกศิษย์อยู่ พระองค์บอกเขาว่า 31 “บุตรมนุษย์จะต้องถูกจับส่งไปอยู่ในมือของมนุษย์ และเขาจะถูกฆ่า และหลังจากนั้นสามวันเขาจะฟื้นขึ้นจากความตาย” 32 พวกศิษย์ไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่ไม่มีใครกล้าถาม

ใครเป็นใหญ่

(มธ. 18:1-5; ลก. 9:46-48)

33 เมื่อพวกเขามาถึงเมืองคาเปอรนาอุม ขณะที่อยู่ในบ้าน พระองค์ถามพวกศิษย์ว่า “ในระหว่างทางพวกคุณเถียงกันเรื่องอะไร” 34 ทุกคนเงียบหมด เพราะในระหว่างทางนั้นพวกเขาเถียงกันเรื่องที่ว่าใครใหญ่ที่สุด

35 พระองค์จึงนั่งลงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองคนเข้ามา แล้วพูดว่า “ถ้าใครอยากจะเป็นใหญ่ เขาจะต้องเป็นคนที่ต่ำต้อยที่สุดและยอมรับใช้ทุกคน”

36 พระองค์เอาเด็กเล็กๆคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้าพวกเขา พระองค์โอบเด็กนั้นไว้ แล้วสอนว่า 37 “คนที่ต้อนรับเด็กเล็กๆอย่างนี้เพราะเห็นแก่เรา ก็เท่ากับคนนั้นได้ต้อนรับเราด้วย และคนที่ต้อนรับเราก็ไม่ได้ต้อนรับแต่เราเท่านั้น แต่ยังได้ต้อนรับผู้ที่ส่งเรามาด้วย”

คนที่ไม่ได้ต่อต้านพระเยซูก็เป็นพวกพระองค์

(ลก. 9:49-50)

38 ยอห์นเล่าให้พระเยซูฟังว่า “อาจารย์ครับ พวกเราเห็นชายคนหนึ่งขับผีชั่วออก โดยอ้างชื่อของอาจารย์ พวกเราก็เลยพยายามห้ามเขา เพราะเขาไม่ใช่พวกเดียวกับเรา”

39 แต่พระเยซูบอกว่า “อย่าไปห้ามเขาเลย เพราะไม่มีใครที่อ้างชื่อเราทำสิ่งอัศจรรย์ แล้วอีกประเดี๋ยวหนึ่งก็มาใส่ร้ายเรา 40 คนที่ไม่ได้ต่อต้านเราก็เป็นพวกเรา 41 ใครก็ตามที่ให้น้ำพวกคุณดื่มเพราะพวกคุณเป็นคนของพระคริสต์ เรารับรองว่า เขาจะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างแน่นอน

โทษสำหรับผู้ที่ทำให้คนอื่นทำบาป

(มธ. 18:6-9; ลก. 17:1-2)

42 ระหว่างการทำให้คนที่ต่ำต้อยคนหนึ่งในพวกนี้ที่ไว้วางใจในเราหลงไปทำบาป กับการถูกถ่วงน้ำโดยมีหินโม่แป้ง[d] แขวนคอไว้ อย่างหลังนี้ก็ยังจะดีกว่า 43 ถ้ามือข้างหนึ่งของคุณทำให้คุณทำบาป ตัดมันทิ้งซะ เพราะมือด้วนข้างหนึ่งแล้วมีชีวิตอยู่กับพระเจ้า ก็ดีกว่ามีมือครบทั้งสองข้าง แต่ต้องตกนรกในไฟที่ไม่มีวันดับ 44 [e] 45 ถ้าเท้าข้างหนึ่งของคุณทำให้คุณทำบาป ก็ตัดมันทิ้งซะ เพราะเท้าข้างหนึ่งด้วนแล้วมีชีวิตอยู่กับพระเจ้า ก็ยังดีกว่ามีเท้าครบทั้งสองข้างแต่ต้องถูกโยนลงไปในนรก 46 [f] 47 ถ้าตาของคุณทำให้คุณทำบาปก็ควักทิ้งซะ เพราะเหลือตาข้างเดียวแล้วได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ก็ยังดีกว่ามีตาสองข้างแล้วถูกโยนลงไปในนรก 48 ที่เต็มไปด้วยตัวหนอนที่ไม่มีวันตายและไฟที่ไม่มีวันดับ

49 ทุกคนจะต้องถูกชำระล้าง[g]ด้วยไฟแห่งความทุกข์”

50 “เกลือนั้นดี แต่ถ้าเกลือหมดรสเค็มแล้วพวกคุณจะทำให้มันกลับมาเค็มอีกได้อย่างไร ขอให้พวกคุณมีเกลือ[h] อยู่ในตัว คืออยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข”

Footnotes

  1. 9:4 เอลียาห์กับโมเสส เป็นสองผู้นำชาวอิสราเอลที่สำคัญมากในสมัยพระคัมภีร์เดิม
  2. 9:11 เอลียาห์ต้องมาก่อน อ้างมาจากหนังสือ มาลาคี 4:5-6
  3. 9:29 มีทางเดียว … คือต้องอธิษฐาน สำเนากรีกบางฉบับเพิ่มคำว่า “คือต้องอธิษฐานและอดอาหาร”
  4. 9:42 หินโม่แป้ง นี่เป็นหินโม่แป้งขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ลาเดินรอบๆ
  5. 9:44 ข้อนี้ สำเนากรีกฉบับหลังๆนี้บางฉบับ มีข้อ 44 ที่มีข้อความเหมือนกับ ข้อ 48
  6. 9:46 ข้อนี้ สำเนากรีกฉบับหลังๆนี้บางฉบับ มีข้อ 46 ที่มีข้อความเหมือนกับ ข้อ 48
  7. 9:49 ถูกชำระล้าง คำนี้แปลตรงๆ ว่า หมักด้วยเกลือ
  8. 9:50 เกลือ ในที่นี้อาจจะหมายถึงคนที่เป็นเพื่อน น่าคบค้าสมาคมด้วย อัธยาศัยดี แต่ไม่มีใครรู้ความหมายชัดเจน

พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า บางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะไม่รู้รสความตายก่อนที่จะเห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาด้วยฤทธานุภาพ”

พระเยซู โมเสส และเอลียาห์

หกวันต่อมา พระเยซูพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปยังภูเขาสูงกับพระองค์แต่เพียงลำพัง และร่างกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา เสื้อผ้าของพระองค์ก็ทอแสงสกาว ขาวบริสุทธิ์ชนิดที่ไม่มีช่างฟอกคนใดในโลกสามารถฟอกให้ขาวได้ แล้วเอลียาห์และโมเสสได้ปรากฏแก่พวกเขา ทั้ง 2 ท่านกำลังสนทนาอยู่กับพระเยซู เปโตรพูดกับพระเยซูว่า “รับบี[a]ดีเหลือเกินที่พวกเราได้มาอยู่กันที่นี่ ให้พวกเราสร้างกระโจม 3 หลังเถิด กระโจมหนึ่งสำหรับพระองค์ กระโจมหนึ่งสำหรับโมเสสและกระโจมหนึ่งสำหรับเอลียาห์” เปโตรไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไรเนื่องจากพวกเขาตกใจกลัวกัน เมฆก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นปกคลุมผู้คน และมีเสียงจากเมฆกล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” แล้วพวกสาวกแลดูรอบตัวทันที ก็ไม่เห็นใครอยู่ด้วยเลย เว้นแต่พระเยซูเท่านั้น

ขณะที่ลงมาจากภูเขา พระองค์สั่งพวกเขาไม่ให้เล่าสิ่งที่ได้เห็นแก่ผู้ใด จนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 10 พวกสาวกเก็บเรื่องนั้นเงียบไว้ ต่างก็ถกเถียงกันว่า การฟื้นคืนชีวิตจากความตายหมายความว่าอย่างไร

11 พวกเขาจึงถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติจึงพูดกันว่า เอลียาห์ต้องมาก่อน” 12 พระองค์กล่าวว่า “จริงทีเดียวที่เอลียาห์มาก่อน และจะทำให้ทุกสิ่งคืนสู่สภาพเดิม แล้วทำไมจึงมีบันทึกไว้ว่าบุตรมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานมากและผู้คนไม่ยอมรับ 13 แต่เราขอบอกเจ้าว่า เอลียาห์ได้มาแล้ว พวกเขาได้กระทำต่อเขาตามใจชอบ ตามที่มีเรื่องบันทึกของเขาไว้”

พระเยซูขับไล่วิญญาณร้ายออกจากตัวเด็ก

14 เมื่อพระเยซูและสาวกทั้งสามกลับมาหาสาวกอื่น ก็เห็นว่ามหาชนอยู่ล้อมรอบเหล่าสาวก อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนก็กำลังโต้เถียงอยู่กับพวกเขา 15 ทันทีที่ฝูงชนทั้งกลุ่มเห็นพระองค์ ก็ประหลาดใจยิ่งนักและวิ่งกรูกันเข้ามาทักทายพระองค์ 16 พระองค์ถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าถกเถียงอะไรกันกับเขาเหล่านั้น” 17 คนหนึ่งในกลุ่มตอบพระองค์ว่า “อาจารย์ ข้าพเจ้าพาบุตรชายของข้าพเจ้ามา เขาถูกวิญญาณร้ายสิงจึงทำให้เขาเป็นใบ้ 18 เมื่อใดก็ตามที่มันเข้าสิงเขา มันก็ทำให้เขาล้มลงฟาดพื้น มีน้ำลายฟูมปาก ฟันขบกัน และตัวแข็งเกร็ง ข้าพเจ้าให้เหล่าสาวกของพระองค์ขับไล่มันออก พวกเขาก็ทำไม่ได้” 19 พระองค์กล่าวตอบว่า “คนในช่วงกาลเวลานี้ช่างไร้ความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกเจ้านานสักเท่าไร เราจะต้องทนต่อพวกเจ้าไปนานสักเท่าไร พาตัวเขามาหาเราเถิด” 20 พวกเขาก็นำเด็กคนนั้นมาหาพระเยซู ทันทีที่เขาเห็นพระองค์ วิญญาณร้ายก็ทำให้เขาชัก ล้มลงบนพื้นแล้วก็กลิ้งไปมาน้ำลายฟูมปาก 21 พระองค์ถามบิดาของเด็กว่า “เป็นมานานเท่าไรแล้ว” เขาตอบว่า “ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ แล้ว 22 มารทำให้เขาตกลงในกองไฟ และตกน้ำบ่อยครั้งเพื่อทำลายเขา แต่ถ้าพระองค์ช่วยได้ ก็โปรดสงสารช่วยพวกเราด้วย” 23 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “‘ถ้าพระองค์ช่วยได้’ อย่างนั้นหรือ ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ” 24 ในทันใดนั้น บิดาของเด็กก็ร้องขึ้นว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ โปรดช่วยเพิ่มความเชื่อของข้าพเจ้าด้วย” 25 เมื่อพระเยซูเห็นว่าฝูงชนวิ่งกันเข้ามา พระองค์กล่าวห้ามวิญญาณร้ายว่า “เจ้าวิญญาณหนวกใบ้ เราสั่งให้เจ้าออกมาจากตัวเขา และอย่าเข้าสิงเขาอีก” 26 หลังจากวิญญาณร้ายร้องและทำให้เขาชักก่อนที่มันจะออกมา เด็กก็แน่นิ่งไปเหมือนไร้ชีวิตจนคนส่วนใหญ่พูดกันว่า “เขาตายแล้ว” 27 แต่พระเยซูจับมือเขาพยุงขึ้น แล้วเขาก็ลุกขึ้น 28 เมื่อพระองค์มาถึงบ้านแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์ก็เริ่มซักถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “ทำไมพวกเราจึงขับมันออกมาไม่ได้” 29 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “วิญญาณร้ายประเภทนี้จะถูกขับออกมาด้วยสิ่งใดไม่ได้ จนกว่าจะมีการอธิษฐานเท่านั้น”[b]

30 หลังจากนั้นพระเยซูและเหล่าสาวกก็เดินทางกันไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ได้ตั้งใจให้ใครทราบ 31 พระองค์กำลังสั่งสอนเหล่าสาวกและบอกว่า “บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของมนุษย์และพวกเขาจะฆ่าท่านเสีย เมื่อท่านถูกฆ่าแล้ว 3 วันต่อมาท่านจะฟื้นคืนชีวิตอีก” 32 แต่พวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์กล่าว แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามพระองค์

ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด

33 พระเยซูกับเหล่าสาวกมายังเมืองคาเปอร์นาอุม เมื่อพระองค์อยู่ในบ้านก็ได้เริ่มซักถามพวกเขาว่า “ระหว่างทางมานั้นพวกเจ้าถกเถียงอะไรกัน” 34 แต่พวกเขานิ่งเงียบกัน เพราะระหว่างทางมานั้นได้ถกเถียงกันว่า คนไหนในพวกเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด 35 พระองค์นั่งลงแล้วก็เรียกสาวกทั้งสิบสองมากล่าวให้ฟังว่า “ถ้าใครต้องการจะเป็นคนแรกสุด เขาต้องเป็นคนท้ายสุด และเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง”

36 พระองค์เอาเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนต่อหน้าพวกเขาและโอบตัวเด็กไว้ กล่าวว่า 37 “ใครก็ตามที่รับเด็กเล็กๆ เช่นนี้คนหนึ่งในนามของเราก็ถือได้ว่า รับเราด้วย และใครก็ตามที่รับเราก็ไม่ได้รับเรา แต่รับพระองค์ผู้ส่งเรามา”

ผู้ขับไล่พวกมารในพระนามของพระเยซู

38 ยอห์นพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ พวกเราเห็นชายคนหนึ่งขับไล่พวกมารในพระนามของพระองค์ และพวกเราพยายามที่จะห้ามเขา เพราะว่าเขาไม่ใช่คนของเรา” 39 แต่พระเยซูกล่าวว่า “อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าไม่มีใครที่จะแสดงสิ่งอัศจรรย์ในนามของเรา และทันทีหลังจากนั้นจะพูดว่าร้ายเราได้ 40 เพราะว่าคนที่ไม่เป็นฝ่ายค้านพวกเราก็เป็นฝ่ายเรา 41 ใครก็ตามที่ให้น้ำเจ้าดื่มถ้วยหนึ่ง เพราะเจ้าเป็นผู้ติดตามของพระคริสต์ เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ผู้นั้นจะไม่สูญเสียรางวัลของเขา

เตือนไม่ให้ทำบาป

42 แต่หากเขาเป็นต้นเหตุให้คนหนึ่งในบรรดาเด็กเล็กๆ เหล่านี้ที่มีความเชื่อในเราพลั้งพลาดไป[c] ให้ถ่วงคอเขาด้วยหินโม่แป้งก้อนใหญ่ และโยนลงทะเลจะดีกว่า 43 และถ้ามือของเจ้าเป็นเหตุให้เจ้ากระทำบาป ก็จงตัดทิ้งเสีย เจ้าจะมีชีวิตตลอดไปเยี่ยงคนพิการก็ยังดีกว่ามีมือทั้งสอง แต่ต้องลงนรกในไฟที่ไม่รู้ดับ [44 ในที่ซึ่ง ‘ตัวหนอนของพวกเขาก็ไม่ตายและไฟก็ไม่มีวันดับ’][d] 45 และถ้าเท้าของเจ้าเป็นเหตุให้เจ้ากระทำบาป ก็จงตัดทิ้งเสีย เจ้าจะมีชีวิตตลอดไปเยี่ยงคนง่อยเปลี้ยก็ยังจะดีกว่ามีเท้าทั้ง 2 ข้าง แต่ก็ถูกโยนลงนรก [46 ในที่ซึ่ง ‘ตัวหนอนของพวกเขาก็ไม่ตาย และไฟก็ไม่มีวันดับ’][e] 47 และถ้าตาของเจ้าเป็นเหตุให้เจ้าทำบาป ก็จงควักทิ้งเสีย เจ้าจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวก็ยังดีกว่ามีตาทั้ง 2 ข้างแต่ก็ถูกโยนลงนรก 48 ในที่ซึ่ง

‘ตัวหนอนของพวกเขาก็ไม่ตาย
    และไฟก็ไม่มีวันดับ’[f]

49 เพราะทุกคนจะถูกชำระด้วยไฟเสมือนการชำระด้วยเกลือ

50 เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าสิ้นความเค็มแล้วจะกลับเค็มอีกได้อย่างไร พวกเจ้าจงมีเกลือในตัว และมีความสงบสุขต่อกันและกันเถิด”

Footnotes

  1. 9:5 รับบี เป็นภาษาฮีบรู แปลได้ความว่า อาจารย์
  2. 9:29 มีหนังสือฉบับแรกๆ บางฉบับที่บันทึกไว้ครั้งโบราณเพิ่มคำว่า “และอดอาหาร” ด้วย
  3. 9:42 พลั้งพลาด หรือล้มเลิกความเชื่อ หรือทำบาป
  4. 9:44 […] สำเนาโบราณบางฉบับมีข้อความตอนนี้รวมอยู่ด้วย
  5. 9:46 […] สำเนาโบราณบางฉบับมีข้อความตอนนี้รวมอยู่ด้วย
  6. 9:48 อิสยาห์ 66:24