การหย่าร้าง(A)

10 จากที่นั่นพระเยซูเสด็จไปยังแคว้นยูเดียและอีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน ฝูงชนมากมายหลายกลุ่มติดตามพระองค์มาอีกและพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาเหมือนเช่นเคย

ฟาริสีบางคนมาทดสอบพระองค์โดยทูลถามว่า “ผิดบัญญัติหรือไม่ที่ผู้ชายจะขอหย่าภรรยา?”

พระองค์ตรัสว่า “โมเสสได้สั่งไว้ว่าอย่างไร?”

พวกเขาทูลว่า “โมเสสอนุญาตให้ผู้ชายเขียนหนังสือหย่าและส่งภรรยาไป”

พระเยซูตรัสว่า “เพราะพวกท่านใจแข็งกระด้างโมเสสจึงเขียนบทบัญญัติข้อนี้ให้ แต่เริ่มแรกในการทรงสร้างนั้นพระเจ้า ‘ทรงสร้างพวกเขาเป็นผู้ชายและผู้หญิง’[a] ‘เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของตนไปผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยา[b] และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน’[c] ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เป็นสองอีกต่อไปแต่เป็นหนึ่งเดียว ฉะนั้นที่พระเจ้าทรงผูกพันเข้าด้วยกันแล้วก็อย่าให้มนุษย์แยกออกจากกันเลย”

10 เมื่อกลับเข้าไปในบ้านอีกเหล่าสาวกทูลถามพระเยซูถึงเรื่องนี้ 11 พระองค์ทรงตอบว่า “ผู้ใดหย่าภรรยาแล้วไปแต่งงานกับหญิงอื่นก็ล่วงประเวณีต่อนาง 12 และหากนางหย่าจากสามีแล้วไปแต่งงานกับชายอื่นนางก็ล่วงประเวณี”

พระเยซูกับเด็กเล็กๆ(B)

13 ประชาชนพาเด็กเล็กๆ มาให้พระเยซูทรงแตะต้องแต่เหล่าสาวกตำหนิพวกเขา 14 เมื่อพระเยซูทรงเห็นก็ไม่พอพระทัยจึงตรัสกับพวกเขาว่า “จงให้เด็กเล็กๆ มาหาเรา อย่าขัดขวางเขาเลย เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็กๆ เหล่านี้ 15 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดไม่รับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะไม่มีวันได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้าเลย” 16 แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กๆ ทรงวางพระหัตถ์บนพวกเขาและอวยพร

เศรษฐีหนุ่ม(C)

17 ขณะพระเยซูเสด็จออกไปชายคนหนึ่งวิ่งมาคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์แล้วทูลถามว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรบ้างจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?”

18 พระเยซูทรงตอบว่า “ทำไมท่านจึงว่าเราประเสริฐ? นอกจากพระเจ้าแล้วไม่มีใครอื่นที่ประเสริฐ 19 ท่านก็รู้บทบัญญัติที่ว่า ‘อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกง จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’[d]

20 เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์ ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าถือปฏิบัติมาตั้งแต่เด็ก”

21 พระเยซูทอดพระเนตรมาที่เขา ทรงรักเขาและตรัสว่า “ท่านยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้นจงตามเรามา”

22 เขาได้ยินเช่นนั้นก็หน้าสลดแล้วจากไปด้วยความทุกข์เพราะเขาร่ำรวยมาก

23 พระเยซูทอดพระเนตรไปรอบๆ แล้วตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ยากนักที่คนรวยจะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า!”

24 เหล่าสาวกแปลกใจในพระดำรัส แต่พระเยซูตรัสอีกว่า “ลูกเอ๋ย ยากยิ่งนัก[e]ที่จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า! 25 ให้อูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าที่คนรวยจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”

26 เหล่าสาวกก็ยิ่งประหลาดใจจึงพูดกันว่า “ถ้าเช่นนั้นใครจะรอดได้?”

27 พระเยซูทอดพระเนตรที่พวกเขาและตรัสว่า “สำหรับมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้”

28 เปโตรทูลว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ละทิ้งทุกสิ่งมาติดตามพระองค์!”

29 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูกๆ หรือไร่นาเพื่อเราและเพื่อข่าวประเสริฐ 30 เขาจะได้รับผลตอบแทนร้อยเท่าในยุคนี้ (ไม่ว่าบ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูก ไร่นา รวมทั้งการข่มเหง) และในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์ 31 แต่หลายคนที่เป็นคนต้นจะกลับไปเป็นคนสุดท้ายและคนสุดท้ายจะกลับไปเป็นคนต้น”

ทรงพยากรณ์อีกว่าจะต้องสิ้นพระชนม์(D)

32 พวกเขากำลังเดินทางขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มโดยมีพระเยซูทรงนำหน้าและเหล่าสาวกประหลาดใจ ส่วนคนที่ตามมารู้สึกกลัว อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูทรงพาสาวกทั้งสิบสองคนเลี่ยงออกมาและทรงบอกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพระองค์ว่า 33 “พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มและบุตรมนุษย์จะถูกทรยศและถูกมอบให้พวกหัวหน้าปุโรหิตกับธรรมาจารย์ พวกเขาจะตัดสินประหารพระองค์และจะมอบพระองค์ให้คนต่างชาติ 34 คนเหล่านั้นจะเยาะเย้ยพระองค์และถ่มน้ำลายรดพระองค์ โบยตีพระองค์และฆ่าพระองค์ หลังจากนั้นสามวันพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย”

คำทูลขอของยากอบกับยอห์น(E)

35 แล้วยากอบกับยอห์นบุตรชายของเศเบดีมาทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ข้าพระองค์ทั้งสองปรารถนาให้พระองค์กระทำตามคำขอของข้าพระองค์”

36 พระองค์ตรัสว่า “ท่านอยากให้เราทำอะไรให้?”

37 เขาทูลว่า “เมื่อพระองค์ทรงได้รับพระเกียรติสิริ ขอให้ข้าพระองค์คนหนึ่งนั่งข้างขวาและอีกคนหนึ่งนั่งข้างซ้ายของพระองค์”

38 พระเยซูตรัสว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ถ้วยที่เราดื่มท่านดื่มได้หรือ? และบัพติศมาที่เรารับท่านรับได้หรือ?”

39 พวกเขาตอบว่า “ได้พระเจ้าข้า”

พระเยซูตรัสว่า “ท่านจะได้ดื่มจากถ้วยที่เราดื่มและรับบัพติศมาที่เรารับ 40 แต่ไม่ใช่เราที่จะจัดให้ใครนั่งซ้ายมือหรือขวามือของเรา แต่ที่ตรงนั้นเป็นของผู้ที่ทรงเตรียมไว้แล้ว”

41 เมื่อสาวกอีกสิบคนได้ยินเรื่องนี้ก็ไม่พอใจยากอบกับยอห์น 42 พระเยซูทรงเรียกเหล่าสาวกมาพร้อมหน้ากันและตรัสว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่าบุคคลที่ถือกันว่าเป็นผู้ปกครองของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้าเหนือพวกเขา และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ใช้อำนาจเหนือพวกเขา 43 แต่สำหรับพวกท่านไม่เป็นเช่นนั้น ตรงกันข้าม ใครต้องการเป็นใหญ่ในพวกท่านผู้นั้นต้องรับใช้พวกท่าน 44 และผู้ใดต้องการเป็นที่หนึ่งผู้นั้นต้องเป็นทาสของคนทั้งปวง 45 เพราะแม้แต่บุตรมนุษย์ก็ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติแต่มาเพื่อปรนนิบัติและประทานชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่สำหรับคนเป็นอันมาก”

ชายตาบอดชื่อบารทิเมอัสมองเห็นได้(F)

46 จากนั้นพระเยซูกับเหล่าสาวกมาถึงเมืองเยรีโคพร้อมกับฝูงชนกลุ่มใหญ่ ขณะกำลังจะออกจากเมือง ชายตาบอดคนหนึ่งชื่อบารทิเมอัส (คือบุตรทิเมอัส) นั่งขอทานอยู่ริมทาง 47 เมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซูแห่งนาซาเร็ธเสด็จมา เขาก็ตะโกนขึ้นว่า “พระเยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาข้าพระองค์ด้วยเถิด!”

48 หลายคนตำหนิและบอกให้เขาเงียบ แต่เขายิ่งร้องดังขึ้นว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาข้าพระองค์ด้วยเถิด!”

49 พระเยซูทรงหยุดและตรัสสั่งว่า “จงเรียกเขามา”

ผู้คนจึงบอกชายตาบอดว่า “จงชื่นใจเถิด! ลุกขึ้น! พระองค์กำลังเรียกเจ้า” 50 เขาก็สลัดเสื้อคลุมทิ้งแล้วลุกพรวดขึ้นไปหาพระเยซู

51 พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ท่านต้องการให้เราทำอะไรให้?”

ชายตาบอดนั้นทูลว่า “รับบี ข้าพระองค์อยากมองเห็น”

52 พระเยซูตรัสว่า “ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านหายแล้ว” ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นได้และตามพระเยซูไปตามทาง

Footnotes

  1. 10:6 ปฐก.1:27
  2. 10:7 สำเนาต้นฉบับเก่าแก่บางสำเนาไม่มีคำว่าไปผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยา
  3. 10:8 ปฐก.2:24
  4. 10:19 อพย.20:12-16ฉธบ.5:16-20
  5. 10:24 สำเนาต้นฉบับบางสำเนาเพิ่มข้อความว่าสำหรับผู้ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ

การหย่าร้าง

10 พระเยซูออกไปจากที่นั่นเพื่อไปยังแคว้นยูเดีย และอีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน ฝูงชนพากันมาหาพระองค์อีก พระองค์ก็เริ่มสั่งสอนพวกเขาตามปกติวิสัย

มีพวกฟาริสีบางคนมาทดสอบพระองค์ว่า “ถูกต้องตามกฎหรือไม่ที่ผู้ชายจะหย่าร้างจากภรรยา” พระองค์กล่าวตอบพวกเขาว่า “โมเสสสั่งท่านไว้อย่างไรเล่า” พวกเขาตอบว่า “โมเสสอนุญาตให้ผู้ชายเขียนใบหย่าร้าง และให้ภรรยาไปจากเขา”

แต่พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “เป็นเพราะความแข็งกระด้างในจิตใจของท่าน โมเสสจึงได้เขียนพระบัญญัตินี้ให้แก่ท่าน แต่ในปฐมกาลของการสร้างโลก พระเจ้า ‘ได้สร้างทั้งชายและหญิง’[a] ‘ด้วยเหตุนี้ ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไป [และผูกพันอยู่กับภรรยาของตน][b] และทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียวกัน’[c] ดังนั้นเขาไม่ใช่สองคนอีกต่อไป แต่เป็นหนึ่งเดียวกัน ฉะนั้นอะไรก็ตามที่พระเจ้าได้เชื่อมสัมพันธ์กันแล้ว ก็อย่าให้ผู้ใดแยกจากกันเลย”

10 ขณะที่อยู่ในบ้าน เหล่าสาวกเริ่มซักถามพระองค์ถึงเรื่องนี้อีก 11 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “ใครก็ตามที่หย่าร้างจากภรรยาของตนและไปสมรสกับหญิงอื่น นับว่าผิดประเวณีต่อภรรยาเดิม 12 และถ้านางหย่าร้างจากสามีของนางและสมรสกับชายอื่น นางก็ผิดประเวณี”

เด็กๆ มาหาพระเยซู

13 ผู้คนพาเด็กๆ มาหาพระเยซูเพื่อให้พระองค์สัมผัสตัว แต่เหล่าสาวกห้ามพวกเขาไว้ 14 เมื่อพระเยซูเห็นดังนั้นพระองค์ก็โกรธและกล่าวกับพวกเขาว่า “ปล่อยให้เด็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามพวกเขาเลย เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนอย่างเด็กเหล่านี้ 15 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ใครก็ตามที่ไม่รับอาณาจักรของพระเจ้าเช่นเดียวกับที่เด็กๆ รับ ก็จะเข้าอาณาจักรนั้นไม่ได้เลย” 16 แล้วพระองค์ก็โอบเด็กๆ ในอ้อมแขน แล้ววางมือทั้งสองของพระองค์บนตัวพวกเขา และอำนวยพรให้

เศรษฐีหนุ่ม

17 ขณะที่พระเยซูกำลังเตรียมตัวออกเดินทาง มีชายคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์และคุกเข่าลงเบื้องหน้า เขาเริ่มถามพระองค์ว่า “อาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าต้องทำสิ่งใดจึงจะได้ชีวิตอันเป็นนิรันดร์” 18 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ทำไมท่านจึงเรียกเราว่าประเสริฐ ไม่มีผู้ใดที่ประเสริฐ เว้นแต่พระเจ้าเพียงพระองค์เดียว 19 ท่านทราบพระบัญญัติว่า ‘อย่าฆ่าคน อย่าผิดประเวณี อย่าขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกง จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’”[d]

20 เขาพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว” 21 พระเยซูมองดูเขาด้วยความรักและกล่าวว่า “มีสิ่งหนึ่งที่ท่านขาดคือ จงไปขายทุกสิ่งที่ท่านมี แจกจ่ายให้แก่คนยากไร้ และท่านจะมีสมบัติในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” 22 เมื่อเขาได้ยินดังนั้นแล้ว ใบหน้าของเขาก็สลดลง และเดินจากไปด้วยความเศร้า เพราะเขาเป็นคนที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย

23 พระเยซูมองดูรอบข้างและกล่าวกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ยากเหลือเกินที่คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า” 24 เหล่าสาวกแปลกใจในคำพูดของพระองค์ แต่พระเยซูกล่าวตอบพวกเขาอีกว่า “ลูกเอ๋ย ยากเหลือเกินที่จะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า 25 ให้ตัวอูฐผ่านเข้ารูเข็มก็ยังจะง่ายกว่าที่คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า” 26 พวกเขาอัศจรรย์ใจมากยิ่งขึ้นและกล่าวต่อกันและกันว่า “แล้วใครเล่าที่จะมีชีวิตรอดพ้นได้” 27 พระเยซูมองดูพวกเขาและกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะช่วยตนเองให้รอดพ้น แต่พระเจ้าทำได้ เพราะไม่มีสิ่งใดยากเกินกว่าที่พระเจ้าจะทำได้” 28 เปโตรเริ่มพูดกับพระองค์ว่า “ดูเถิด พวกเราได้สละทุกสิ่งและติดตามพระองค์มา” 29 พระเยซูกล่าวตอบว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ไม่มีผู้ที่สละบ้าน พี่น้องชายหญิง แม่ พ่อ ลูกๆ หรือไร่นาเพื่อเราและเพื่อข่าวประเสริฐ 30 แล้วจะไม่ได้รับจากพระเจ้ามากเป็น 100 เท่าทั้งในยุคปัจจุบัน (บ้าน พี่น้องชายหญิง แม่ ลูกๆ และไร่นา รวมทั้งการกดขี่ข่มเหง) และในยุคที่จะมาถึงคือชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 31 แต่คนจำนวนมากที่เป็นคนแรกก็จะเป็นคนสุดท้าย และคนสุดท้ายก็จะเป็นคนแรก”

พระเยซูแจ้งมรณกาลของพระองค์ไว้ล่วงหน้า

32 ขณะที่พระเยซูและเหล่าสาวกกำลังเดินทางขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม พระเยซูเดินนำหน้าพวกเขาไป และพวกเขาก็แปลกใจ คนที่ตามไปด้วยก็หวาดกลัว พระองค์พาสาวกทั้งสิบสองไปอีก เพื่อบอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์ 33 พระองค์กล่าวว่า “ดูเถิด พวกเรากำลังจะขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกมอบตัวให้แก่พวกมหาปุโรหิตและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติ และพวกเขาจะกล่าวโทษให้ท่านถึงแก่ความตาย และจะมอบท่านให้แก่บรรดาคนนอก 34 พวกเขาจะล้อเลียนและถ่มน้ำลายรดท่าน จะโบยและประหารท่าน 3 วันหลังจากนั้นท่านจะฟื้นคืนชีวิต”

ยากอบและยอห์นขอร้องสิ่งหนึ่งจากพระเยซู

35 ฝ่ายยากอบและยอห์นบุตรทั้งสองของเศเบดีมาหาพระองค์และพูดว่า “อาจารย์ ข้าพเจ้าทั้งสองอยากให้พระองค์ช่วยทำตามสิ่งที่ขอด้วย” 36 พระองค์กล่าวกับเขาว่า “พวกเจ้าอยากให้เราทำสิ่งใดให้เล่า” 37 พวกเขาพูดว่า “ขอพระองค์ได้โปรดให้ข้าพเจ้าทั้งสองนั่งร่วมในบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ คนหนึ่งทางด้านขวา และอีกคนหนึ่งทางด้านซ้ายของพระองค์” 38 แต่พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าไม่รู้ว่ากำลังขออะไรกันอยู่ เจ้าสามารถดื่มจากถ้วยที่เราดื่มได้หรือ และจะได้รับบัพติศมาซึ่งเรารับได้หรือ” 39 เขาทั้งสองพูดกับพระองค์ว่า “พวกเราทำได้แน่” แล้วพระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “เจ้าจะดื่มจากถ้วยที่เราดื่มและเจ้าจะได้รับบัพติศมาซึ่งเราได้รับ 40 แต่จะนั่งอยู่ทางขวามือหรือทางซ้ายมือของเรา ไม่ใช่สิทธิ์ของเราที่จะให้ แต่เป็นที่สำหรับบรรดาผู้ที่พระองค์เตรียมให้ไว้”

41 เมื่อสาวก 10 คนได้ยินดังนั้นจึงโกรธยากอบและยอห์น 42 พระเยซูจึงเรียกพวกเขามาหาและกล่าวว่า “เจ้าก็รู้อยู่ว่า พวกที่อยู่ในระดับปกครองของบรรดาคนนอกมีสิทธิอำนาจเหนือพวกเขา และคนใหญ่คนโตของเขาใช้สิทธิอำนาจกับพวกเขา 43 แต่มิใช่เช่นนั้นในพวกเจ้า ใครก็ตามที่อยากจะเป็นใหญ่ในพวกเจ้าต้องเป็นผู้รับใช้ของเจ้า 44 และใครก็ตามที่อยากเป็นคนแรกในพวกเจ้า ต้องเป็นทาสรับใช้ของคนทั้งปวง 45 เพราะแม้แต่บุตรมนุษย์ก็ไม่ได้มาเพื่อให้ผู้ใดรับใช้ แต่มาเพื่อจะรับใช้ และเพื่อมอบชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่แก่คนจำนวนมาก”

ดวงตาที่ได้คืนของชายตาบอด

46 พระเยซูและเหล่าสาวกมายังเมืองเยรีโค และขณะที่พระองค์กำลังออกจากเมืองเยรีโคกับสาวกของพระองค์และมหาชน มีขอทานตาบอดคนหนึ่งชื่อบาร์ทิเมอัสบุตรของทิเมอัส นั่งอยู่ที่ข้างถนน 47 เมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธกำลังเดินผ่านมา เขาจึงร้องตะโกนขึ้นว่า “พระเยซูบุตรของดาวิด โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วย” 48 คนจำนวนมากห้ามเขาและบอกให้เงียบเสีย แต่เขากลับยิ่งตะโกนดังขึ้นว่า “บุตรของดาวิด โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วย” 49 พระเยซูก็หยุดเดินและกล่าวว่า “เรียกตัวเขามาที่นี่” และพวกเขาก็เรียกตัวชายตาบอดมา และพูดกับเขาว่า “ทำใจให้ดีไว้ จงลุกขึ้น พระองค์เรียกตัวเจ้าไปหา” 50 เขากระโดดขึ้นพลางทิ้งเสื้อตัวนอกไว้และไปหาพระเยซู 51 พระเยซูกล่าวตอบเขาว่า “เจ้าต้องการจะให้เราทำอะไรให้เล่า” ชายตาบอดพูดกับพระองค์ว่า “รับบี ข้าพเจ้าอยากจะมองเห็น” 52 พระเยซูจึงกล่าวกับเขาว่า “ไปตามทางของเจ้าเถิด ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหายจากโรคแล้ว” และในทันใดนั้น เขาก็มองเห็นได้ แล้วก็ตามพระองค์ไปตามทางถนน

Footnotes

  1. 10:6 ปฐมกาล 1:27
  2. 10:7 […] สำเนาโบราณบางฉบับมีข้อความตอนนี้รวมอยู่ด้วย
  3. 10:8 ปฐมกาล 2:24
  4. 10:19 อพยพ 20:12-16; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16-20