Add parallel Print Page Options

ประชาชนเริ่มบ่นอีกครั้ง

14 พวกประชาชนต่างโห่ร้องเสียงดังและในคืนนั้นพวกเขาก็ร้องห่มร้องไห้กัน ประชาชนชาวอิสราเอลทั้งหมดบ่นต่อว่าโมเสสและอาโรน พวกเขาทั้งหมดพูดกับโมเสสและอาโรนว่า “น่าจะปล่อยให้พวกเราตายในแผ่นดินอียิปต์หรือไม่ก็ทิ้งให้พวกเราตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้ พระยาห์เวห์พาพวกเรามาที่แผ่นดินนี้ เพื่อมาล้มตายด้วยดาบทำไมกัน แล้วเมียและลูกๆของพวกเราก็จะถูกจับไป อย่างนี้พวกเรากลับไปอียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ”

พวกเขาพูดกันว่า “ให้พวกเราเลือกหัวหน้าคนใหม่ มานำพวกเรากลับไปอียิปต์กันดีกว่า”

โมเสสและอาโรนก้มลงกับพื้น ต่อหน้าชาวอิสราเอลที่ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น โยชูวาลูกชายของนูนและคาเลบลูกชายเยฟุนเนห์ สองคนนี้ที่ได้ไปสำรวจดินแดนแห่งนั้นด้วย ทั้งสองคนก็โกรธฉีกเสื้อผ้า[a] ของตนออก ทั้งสองพูดกับชาวอิสราเอลที่ชุมนุมกันอยู่ว่า “แผ่นดินที่พวกเราเดินทางเข้าไปสำรวจนั้นเป็นแผ่นดินที่ดีมากจริงๆ ถ้าพระยาห์เวห์พอใจพวกเรา พระองค์จะนำพวกเราเข้าในแผ่นดินนั้น และพระองค์จะยกแผ่นดินนั้นให้กับพวกเรา เป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ดังนั้น อย่าได้กบฏต่อพระยาห์เวห์เลย และไม่ต้องกลัวคนในแผ่นดินนั้นด้วย เพราะพวกมันเป็นเหยื่อของพวกเรา และสิ่งที่ป้องกันพวกมันก็ไม่มีแล้ว แต่พระยาห์เวห์อยู่กับพวกเรา อย่ากลัวพวกมันเลย”

10 คนที่ชุมนุมกันนั้นขู่ว่าจะเอาหินขว้างเขาทั้งสอง แล้วรัศมีของพระยาห์เวห์ ก็ปรากฏขึ้นที่เต็นท์นัดพบ ต่อหน้าชาวอิสราเอลทั้งหมด 11 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “พวกนี้จะดูหมิ่นเราไปอีกนานแค่ไหน พวกเขาจะไม่ไว้ใจเราไปอีกนานแค่ไหน ทั้งๆที่เราได้แสดงการอัศจรรย์มากมายให้พวกเขาเห็นแล้ว 12 เราจะให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงกับพวกเขาและเราจะทำลายพวกเขา และเราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งกว่าคนพวกนี้”

13 โมเสสพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “ถ้าพระองค์ทำอย่างนี้ ชาวอียิปต์จะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์นำประชาชนเหล่านี้ออกมาจากท่ามกลางพวกเขา 14 ชาวอียิปต์จะบอกกับคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ พวกเขาก็รู้อยู่แล้วว่าพระองค์ พระยาห์เวห์ ได้อยู่ท่ามกลางคนพวกนี้ และรู้อีกว่าพระองค์ พระยาห์เวห์ได้ปรากฏให้คนพวกนี้เห็นด้วยตาเปล่า พวกเขารู้ว่าเมฆของพระองค์อยู่เหนือคนพวกนี้ พวกเขาก็รู้ว่าในเวลากลางวัน พระองค์นำหน้าคนพวกนี้ในเสาเมฆ ส่วนในเวลากลางคืนพระองค์นำหน้าคนพวกนี้ในเสาไฟ 15 ถ้าพระองค์ฆ่าคนพวกนี้ทั้งหมด ชนชาติทั้งหลายที่ได้ยินเกี่ยวกับพระองค์ก็จะพูดกันว่า 16 ‘เป็นเพราะพระยาห์เวห์ไม่สามารถนำคนพวกนี้เข้าไปในแผ่นดินที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับพวกเขา พระองค์จึงฆ่าพวกเขาเสียในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง’

17 ตอนนี้ขอให้ฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ยิ่งใหญ่ เหมือนกับที่พระองค์ได้พูดไว้ 18 พระองค์พูดว่า ‘เรา ยาห์เวห์โกรธช้า แต่เรามีความรักยิ่งใหญ่ เราอภัยให้กับคนที่ทำบาปและแหกกฎ แต่เราจะไม่เว้นโทษให้ทั้งหมด เราจะลงโทษคนพวกนั้น รวมทั้งลูก หลาน เหลน ของเขาด้วย สำหรับความผิดบาปที่พวกเขาทำนั้น’ 19 ดังนั้น ได้โปรดให้อภัยบาปของคนพวกนี้ ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ เหมือนกับที่พระองค์ได้อภัยให้กับพวกเขาตั้งแต่ตอนที่พวกเขาออกจากอียิปต์มาจนถึงเดี๋ยวนี้”

20 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราจะอภัยให้ ตามที่เจ้าขอ 21 เรามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน และโลกทั้งใบนี้ปกคลุมด้วยรัศมีของพระยาห์เวห์อย่างแน่นอนขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เราสัญญาว่า 22 คนพวกนี้ทั้งหมดที่ได้เห็นรัศมีของเราและเหตุการณ์อันมหัศจรรย์ของเรา ที่เราได้ทำในอียิปต์และในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง และได้ลองดีกับเราถึงสิบครั้งและไม่เชื่อฟังเรา 23 คนพวกนี้ทั้งหมดจะไม่ได้เห็นแผ่นดินที่เราได้สัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา รวมทั้งคนพวกนั้นทุกคนที่ไม่เคารพยำเกรงเรา จะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินนั้นด้วย 24 แต่เพราะคาเลบผู้รับใช้เรา คิดแตกต่างจากคนพวกนั้น และติดตามเราทุกอย่าง เราจะนำเขาเข้าไปในแผ่นดินที่เขาเคยเข้าไปแล้ว และลูกหลานของเขาก็จะได้ครอบครองแผ่นดินนั้น 25 ชาวอามาเลคและชาวคานาอันอาศัยอยู่ในหุบเขา ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ ให้เดินทางกลับเข้าไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง โดยใช้เส้นทางที่มุ่งสู่ทะเลแดง”

พระยาห์เวห์ลงโทษประชาชน

26 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสและอาโรนว่า 27 “ไอ้พวกชั่วช้านี้จะบ่นต่อว่าเราไปอีกนานแค่ไหน เราได้ยินเสียงบ่นของพวกชาวอิสราเอลที่บ่นต่อว่าเรา 28 ให้บอกพวกมันว่า ‘พระยาห์เวห์บอกว่า “เรามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เราจะทำกับเจ้าเหมือนกับที่เจ้าได้บ่นใส่หูเรา 29 พวกเจ้าจะตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้ พวกเจ้าทุกคนที่ได้นับไว้แล้ว ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ได้บ่นต่อว่าเรา 30 เจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินที่เราได้สัญญาไว้ว่าจะให้เจ้าเข้าไปอยู่ ยกเว้นคาเลบลูกชายของเยฟุนเนห์และโยชูวาลูกชายของนูน 31 และลูกๆของเจ้าที่เจ้าบอกว่าจะถูกจับตัวไป เราจะพาพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินนั้น และพวกเขาจะรู้จักแผ่นดินที่พวกเจ้าปฏิเสธ 32 แต่พวกเจ้าจะต้องตายอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้

33 ลูกๆของพวกเจ้าจะเป็นคนเลี้ยงแกะในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งเป็นเวลาสี่สิบปี พวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความไม่ซื่อสัตย์ของพวกเจ้า จนกว่าพวกเจ้าจะตายกันหมดในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง 34 พวกเจ้าจะต้องทนทุกข์เพราะบาปของพวกเจ้าเป็นเวลาสี่สิบปี ซึ่งเท่ากับจำนวนสี่สิบวันที่พวกเจ้าเข้าไปสำรวจแผ่นดินนั้น หนึ่งปีต่อหนึ่งวัน แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าเมื่อเราขัดขวางเจ้านั้น มันจะเป็นอย่างไร”’[b]

35 เรา ยาห์เวห์ ได้พูดไว้แล้วว่า เราจะทำอย่างนี้กับไอ้พวกชั่วช้านี้ทุกคน ที่ได้มาชุมนุมกันต่อต้านเรา พวกมันทุกคนจะต้องตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้”

36 พวกผู้ชายที่โมเสสส่งเข้าไปสำรวจแผ่นดินนั้น ได้กลับมา และรายงานเกี่ยวกับแผ่นดินนั้นอย่างเสียๆหายๆทำให้ผู้คนทั้งหมดบ่นต่อว่าพระยาห์เวห์ 37 พระยาห์เวห์ได้ทำให้ผู้ชายพวกนี้ที่ได้รายงานเกี่ยวกับแผ่นดินนั้นอย่างเสียๆหายๆตายหมดด้วยโรคระบาด 38 ผู้ชายทั้งหมดที่เข้าไปสำรวจแผ่นดินนั้น มีแต่โยชูวาลูกชายของนูนและคาเลบลูกชายเยฟุนเนห์เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่

ประชาชนพยายามบุกเข้าคานาอัน

(ฉธบ. 1:41-46)

39 เมื่อโมเสสบอกเรื่องนี้กับชาวอิสราเอลทุกคน พวกเขาเศร้าโศกเสียใจมาก 40 วันต่อมา พวกเขาตื่นแต่เช้าตรู่ และเริ่มตรงไปที่ยอดเนินเขานั้น พวกเขาพูดว่า “เราอยู่ที่นี่แล้ว พวกเราจะขึ้นไปยังสถานที่ที่พระยาห์เวห์ได้สัญญาไว้ เพราะพวกเราได้ทำบาปไปแล้ว”

41 โมเสสจึงพูดว่า “ตอนนี้ทำไมพวกท่านถึงขัดคำสั่งของพระยาห์เวห์ มันจะไม่สำเร็จหรอก 42 อย่าขึ้นไปเลย พวกท่านจะได้ไม่ถูกฟาดฟันจนพ่ายแพ้ต่อหน้าศัตรู เพราะพระยาห์เวห์ไม่ได้อยู่ท่ามกลางพวกท่าน 43 เพราะพวกชาวอามาเลคและชาวคานาอันจะต่อสู้กับท่านที่นั่น และพวกท่านจะถูกฆ่าฟันล้มลง เพราะพวกท่านได้หันไปจากพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ก็จะไม่อยู่กับพวกท่าน”

44 แต่พวกเขายังคงดื้อดึง ขึ้นไปบนยอดเนินเขานั้น แม้ว่าหีบศักดิ์สิทธิ์ที่ใส่ข้อตกลงของพระยาห์เวห์ และโมเสสยังไม่ได้ออกไปจากค่าย 45 ชาวอามาเลคและชาวคานาอันที่อาศัยอยู่แถบเนินเขานั้นต่างกรูกันลงมา และเข้าโจมตีพวกชาวอิสราเอลจนแตกกระเจิงไปถึงโฮรมาห์

Footnotes

  1. 14:6 ฉีกเสื้อผ้า เป็นวิธีที่พวกเขาแสดงความโกรธ
  2. 14:34 เมื่อเรา … เป็นอย่างไร หรืออาจจะแปลได้ว่า “เมื่อเจ้าขัดขวางเรานั้น มันจะเป็นอย่างไร”

14 แล้วมวลชนก็ส่งเสียงร้องลั่นและประชาชนร้องไห้เสียงดังในคืนวันนั้น และชาวอิสราเอลร่ำรำพันต่อโมเสสและอาโรน และมวลชนพูดกับท่านทั้งสองว่า “พวกเราน่าจะตายกันไปแล้วที่อียิปต์หรือในถิ่นทุรกันดาร ทำไมพระผู้เป็นเจ้าจึงจะนำพวกเราเข้าไปในดินแดนนี้เพื่อให้ตายด้วยคมดาบ ภรรยาและลูกๆ ของพวกเราจะกลายเป็นเหยื่อ มันไม่ดีกว่าหรือถ้าเรากลับไปที่อียิปต์” พวกเขาพูดต่อๆ กันไปว่า “เรามาเลือกผู้นำคนหนึ่งและกลับไปที่อียิปต์กันเถิด”

โมเสสกับอาโรนก็ซบหน้าลงกับพื้นต่อหน้ามวลชนชาวอิสราเอลทั้งปวง โยชูวาบุตรของนูนกับคาเลบบุตรเยฟุนเนห์เป็นสองคนที่ร่วมไปสอดแนมดินแดนนั้นด้วยจึงฉีกเสื้อผ้าของตน และพูดกับมวลชนชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “ดินแดนที่เราเห็นจากการสำรวจเป็นดินแดนที่ดีเหลือเกิน ถ้าพระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานพวกเรา พระองค์จะนำพวกเราเข้าสู่ดินแดนนี้ และจะมอบดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งให้แก่เรา แต่อย่าขัดขืนพระผู้เป็นเจ้า และอย่ากลัวประชาชนของดินแดนนั้น เพราะเขาเป็นเสมือนอาหารของเราและไม่มีที่คุ้มกันอีกแล้ว แต่พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย” 10 แต่มวลชนทั้งปวงบอกให้ใช้หินขว้างพวกเขา ครั้นแล้วพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏที่กระโจมที่นัดหมายให้ชาวอิสราเอลเห็น

11 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ประชาชนพวกนี้จะดูหมิ่นเราอีกนานแค่ไหน และเขาจะไม่เชื่อในตัวเรานานแค่ไหนทั้งๆ ที่เราได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ทั้งหลายท่ามกลางพวกเขา 12 เราจะให้โรคระบาดเกิดกับพวกเขาและกำจัดเสียให้สิ้น แล้วเราจะให้ประชาชาติหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าและเข้มแข็งกว่าพวกเขาเกิดขึ้นมาจากตัวเจ้า”

13 แต่โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “ถ้าเช่นนั้นชาวอียิปต์ก็จะรู้เรื่องนี้ พระองค์ได้นำประชาชนพวกนี้ออกมาจากพวกเขาด้วยอานุภาพของพระองค์ 14 แล้วพวกเขาจะบอกกับผู้อยู่อาศัยในดินแดนนี้ว่าเขาได้ยินมาว่า โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์อยู่ท่ามกลางชนชาตินี้ โอ พระผู้เป็นเจ้า ด้วยว่า พระองค์ได้ปรากฏให้เขาเห็น เมฆของพระองค์อยู่เหนือพวกเขา และพระองค์ออกนำทางล่วงหน้าพวกเขาในตอนกลางวันในลักษณะของเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลัก และในตอนกลางคืนในลักษณะกลุ่มเพลิงขนาดมหึมาดั่งเสาหลัก 15 มาบัดนี้ถ้าพระองค์ฆ่าชนชาตินี้ประหนึ่งฆ่าเพียงคนเดียว บรรดาประชาชาติที่ได้ยินเรื่องของพระองค์ก็จะพูดกันว่า 16 ‘เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่สามารถนำชนชาตินี้เข้าไปยังดินแดนที่พระองค์ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่พวกเขา ดังนั้นพระองค์จึงได้ฆ่าพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร’[a] 17 บัดนี้ ข้าพเจ้าขอร้อง โปรดแสดงอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าให้ยิ่งใหญ่เถิด ตามที่พระองค์กล่าวไว้ว่า 18 พระผู้เป็นเจ้าไม่โกรธง่าย เปี่ยมด้วยความรักอันมั่นคง ให้อภัยบาปและการล่วงละเมิด แต่ก็ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดรอดตัวไปได้ พระองค์จะทำให้บาปของบิดาตกทอดถึงบุตรของเขาไปจนถึง 3 และ 4 ชั่วอายุคน’[b] 19 ขอพระองค์โปรดให้อภัยบาปของประชาชนพวกนี้ตามความรักอันมั่นคงยิ่งของพระองค์เถิด และเป็นเพราะพระองค์ได้ยกโทษพวกเขาแล้วตั้งแต่ครั้งที่อยู่ในอียิปต์มาจนบัดนี้”

20 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เราได้ให้อภัยตามที่เจ้าขอ 21 แต่อย่างไรก็ดี ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ และตราบที่ทั่วแผ่นดินโลกจะเต็มด้วยบารมีของพระผู้เป็นเจ้า 22 ชายคนใดที่เคยเห็นบารมีและปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่เรากระทำในอียิปต์และในถิ่นทุรกันดาร แต่เขาก็ยังลองดีกับเราถึง 10 ครั้งและไม่ได้ฟังเสียงของเรา 23 เขาเหล่านั้นก็จะไม่ได้เห็นดินแดนที่เราได้ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่บรรพบุรุษของเขา และใครก็ตามดูหมิ่นเราก็จะไม่ได้เห็นด้วยเช่นกัน 24 แต่เพราะคาเลบผู้รับใช้ของเรามีจิตวิญญาณต่างกัน และเขาได้ตามเราอย่างจริงใจ เราก็จะนำเขาเข้าไปในดินแดนที่เขาเข้าไปมาแล้ว และบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเขาจะได้ยึดครองดินแดนนั้น 25 ในเมื่อชาวอามาเลขและชาวคานาอันอาศัยอยู่ในหุบเขา พรุ่งนี้จงออกเดินทางกลับไปยังถิ่นทุรกันดารตามทางที่ไปทะเลแดง”

26 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า 27 “เราจะต้องทนต่อมวลชนชั่วร้ายที่พร่ำบ่นต่อว่าต่อขานเราไปนานแค่ไหน เราได้ยินชาวอิสราเอลบ่นพึมพำต่อว่าเราแล้ว 28 จงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ อะไรที่เจ้าพูดให้เราได้ยิน เราก็จะกระทำต่อเจ้าตามนั้น 29 ศพของพวกเจ้าจะถูกทิ้งไว้ในถิ่นทุรกันดาร ทุกคนที่นับไว้ในทะเบียนที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปและบ่นพึมพำต่อว่าเรา 30 จะไม่มีสักคนที่จะได้ก้าวเข้าไปในดินแดนที่เราได้ยกมือปฏิญาณให้เจ้าอาศัยอยู่ ยกเว้นคาเลบบุตรเยฟุนเนห์และโยชูวาบุตรของนูน 31 ส่วนลูกๆ ของเจ้าที่บอกว่าจะกลายเป็นเหยื่อนั้น เราจะนำพวกเขาเข้าไป และเขาจะรู้จักดินแดนที่พวกเจ้าดูหมิ่น 32 สำหรับพวกเจ้า ศพก็จะถูกทิ้งไว้ในถิ่นทุรกันดารนี้ 33 ลูกหลานของพวกเจ้าจะเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปี และพวกเจ้าจะได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความไม่เชื่อ จนกระทั่งคนสุดท้ายของพวกเจ้าจะทอดร่างนอนตายในถิ่นทุรกันดาร 34 พวกเจ้าจะได้รับความทุกข์ทรมานเนื่องจากบาปของเจ้าเป็นเวลา 40 ปีตามจำนวน 40 วันที่เจ้าได้สอดแนมดินแดนนั้น คือ 1 ปีต่อ 1 วัน แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่าเราไม่พอใจเพียงไร 35 เราคือพระผู้เป็นเจ้าได้ลั่นคำพูดไปแล้ว เราจะกระทำตามนี้ต่อมวลชนชั่วร้ายทั้งปวงที่มาชุมนุมร่วมกันต่อว่าเรา พวกเขาจะมาถึงจุดจบในถิ่นทุรกันดารแห่งนี้ และจะตายกันที่นั่น’”

36 ดังนั้น บรรดาชายที่โมเสสส่งไปสอดแนมดินแดนและกลับมาทำให้มวลชนทั้งปวงบ่นพึมพำต่อว่าโมเสสโดยรายงานว่าดินแดนนั้นเลวร้าย 37 บรรดาชายที่รายงานเป็นเรื่องร้ายๆ เกี่ยวกับดินแดนก็ตายด้วยโรคระบาดต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า 38 แต่โยชูวาบุตรของนูนและคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ซึ่งได้ไปสอดแนมดินแดนด้วยนั้นยังมีชีวิตอยู่

39 เมื่อโมเสสบอกเรื่องดังกล่าวแก่ชาวอิสราเอลทั้งปวง พวกเขาก็ร้องคร่ำครวญเป็นอย่างมาก 40 ครั้นถึงรุ่งเช้าเมื่อพวกเขาลุกขึ้น โดยขึ้นไปยังแถบภูเขาสูงและพูดว่า “ดูเถิด เราจะขึ้นไปยังสถานที่ที่พระผู้เป็นเจ้าสัญญาไว้ เพราะพวกเราได้ทำผิดไปแล้ว” 41 แต่โมเสสพูดว่า “ทำไมพวกท่านจึงฝืนต่อคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่ท่านทำจะไม่บังเกิดผลสำเร็จ 42 อย่าขึ้นไปเลย ด้วยเกรงว่าท่านจะตายต่อหน้าศัตรู เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้อยู่กับท่าน 43 ในที่นั้นชาวอามาเลขและชาวคานาอันรอเผชิญท่านอยู่ และท่านจะต้องตายด้วยคมดาบ เพราะพวกท่านหันหลังให้พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจะไม่อยู่กับท่าน” 44 ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังฝืนขึ้นไปยังแถบภูเขาสูง แม้ว่าหีบพันธสัญญาแห่งพระผู้เป็นเจ้าและโมเสสไม่ได้ออกจากค่าย 45 แล้วชาวอามาเลขและชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในแถบภูเขาจึงลงมาโจมตีพวกเขาและไล่โจมตีอย่างไม่ลดละจนถึงโฮร์มาห์